​ผลงานครึ่งปี “อารดา เฟื่องทอง”

img

วันศุกร์ (27 มิ.ย.) ที่ผ่านมา “นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ” ได้เปิดแถลงข่าว “ผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรก ปี 2568 (ม.ค.-มิ.ย.) และแผนการดำเนินงานสำคัญในช่วง 6 เดือนหลัง ปี 2568 (ก.ค.-ธ.ค.)” รวมถึงประเด็นที่อยู่ในความสนใจ
         
นางอารดา เริ่มต้นด้วยการแถลง “ผลงาน” การบริหารจัดการสินค้าเกษตรสำคัญ คือ “ข้าว” ที่การส่งออกช่วงช่วง 5 เดือน (ม.ค.-พ.ค.) ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ทำได้เพียง 3.05 ล้านตัน ลด 25.61% มูลค่า 63,098 ล้านบาท ลด 34.03%
         
ปัจจัย “กดดัน” มาจาก ผลผลิตข้าวโลกเพิ่ม อินเดียกลับมาส่งออก และอินโดนีเซียนำเข้าลดลง แต่หลาย ๆ ตลาดส่งออกได้เพิ่มขึ้น อย่างอิรัก ขยับขึ้นเป็นตลาดอันดับหนึ่ง ตามด้วยสหรัฐฯ แอฟริกาใต้ และฟิลิปปินส์
         
รวมทั้งยังมั่นใจ ว่า ทั้งปี จะส่งออกได้ตามเป้า 7.5 ล้านตัน เพราะมีแผนผลักดันการส่งออกข้าวต่อเนื่อง ทั้งนำคณะผู้แทนการค้าไปเยือนฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น จัดประชาสัมพันธ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้าที่นิวยอร์ก ชิดนีย์ หนานหนิง โคโลญจน์ จัดประชุมข้าวนานาชาติสัญจร ประชาสัมพันธ์ข้าวไทยผ่านช่องทางออนไลน์ ร่วมกับร้านอาหารและอินฟลูเอนเซอร์
         
ส่วน “มันสำปะหลัง” พูดได้ว่าเป็น “อาวุธลับ” สินค้าเกษตรเลยก็ว่าได้ ช่วง 5 เดือน ส่งออก 4.06 ล้านตัน เพิ่ม 37.16% มูลค่า 45,358.32 ล้านบาท ลด 7.11% เพราะราคาลดตามราคาตลาดโลกที่ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ลดลงไปแล้วประมาณ 30% ยังดีที่ได้ปริมาณมาช่วย มูลค่าก็เลยลดลงไม่มาก และทั้งปี ยังคาดว่าจะส่งออกได้ 7.5 ล้านตัน
         
โดยแผนผลักดันการส่งออกในช่วง 6 เดือนที่เหลือของปีนี้ จะจัดประชุมสัมมนามันสำปะหลักโลก 29-31 ก.ค.2568 จัดคณะผู้แทนการค้าไปขยายตลาดที่ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ เพื่อเปิดตลาดใหม่ ซื้อข้อมูลมันสำปะหลังและสินค้าที่เกี่ยวข้องจากผู้ให้บริการข้อมูลของจีน เพื่อนำมาวางแผนในการส่งออกมันสำปะหลังของไทยไปจีน

สำหรับการใช้ “มาตรการเยียวยาทางการค้า” มีการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) กับ 22 ประเทศ 22 กรณี ส่วนใหญ่เหล็ก และไทยถูกใช้ AD จาก 18 ประเทศ 73 กรณี อาทิ เหล็ก เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ยาง ไม่มีการใช้มาตรการตอบโต้การอุดหนุน (CVD) แต่ถูกใช้จาก 3 ประเทศ 7 กรณี ได้แก่ ลวดทองแดง ไม้อัด ท่อทองแดง กรดไขมันอิ่มตัว เหล็กแผ่นรีดร้อน เซลล์แสงอาทิตย์ น้ำตาล ไม่มีการใช้มาตรการป้องกันการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น (SG) แต่ถูกใช้จาก 9 ประเทศ 19 กรณี อาทิ เหล็ก เคมีภัณฑ์ และใช้มาตรการตอบโต้การหลบเลี่ยงการใช้มาตรการ AD-CVD (AC) 1 กรณี คือ เหล็กแผ่นรีดร้อนเจืออัลลอยจากจีน 17 ราย และถูกใช้ 3 ประเทศ 6 กรณี
         


โดยช่วงครึ่งปีหลัง อยู่ระหว่างการพิจารณาคำขอใช้ AD 2 กรณี AC 3 กรณี และ SG 1 กรณี และให้คำปรึกษาผู้ประกอบการเพื่อยื่นคำขอใช้ AD 9 กรณี SG 3 กรณี และ AC 2 กรณี
         
ทางด้านการป้องกัน “การสวมสิทธิ์ถิ่นกำเนิดสินค้า” ไปสหรัฐฯ ได้ประชุมร่วมกับ “หอการค้าไทย” และ “สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย” ให้กรมเป็น “หน่วยงานเดียว” ในการออก Form C/O สำหรับการส่งออกสินค้าเฝ้าระวังไปสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันมี “49 รายการ” และกำลังจะเพิ่มเป็น “65 รายการ” ซึ่งหากมีการปรับปรุงเสร็จแล้ว ก็จะประกาศบังคับใช้ต่อไป
         
นอกจากนี้ ได้เพิ่ม “ความเข้มงวด” ในการตรวจสอบ โดยร่วมกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม สำนักงานพาณิชย์จังหวัด ออกตรวจสอบโรงงานผลิต โดยเน้นสินค้าเฝ้าระวังที่จัดอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงสูง รวมทั้งประสานกรมศุลกากร เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงจากการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้าไทย และร่วมมือกับหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ และการปฏิบัติตามขั้นตอนการออก Form C/O รูปแบบใหม่
         
ทางด้านการรับมือผลกระทบจาก “สงครามการค้า” ที่เป็นผลจากกรณีสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีอัตราต่างตอบแทน และการขึ้นภาษีกับสินค้าจากประเทศที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ทำให้ประเทศต่าง ๆ มีปัญหาในการส่งออก อาจหันไปส่งออกผ่านประเทศที่สามเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี หรือสินค้าที่ถูกขึ้นภาษีอาจถูกระบายมายังประเทศอื่นแทน
         
เรื่องนี้ นางอารดา บอกว่า ได้ทำแผนรับมือไว้พร้อมหมดแล้ว
         
กรณี “ผู้ผลิตในประเทศ” ได้รับ “ความเสียหาย” จาก “สินค้านำเข้า” ที่เพิ่มขึ้น จากการ “เบี่ยงเบน” ทางการค้า จะใช้มาตรการ SG โดยการเรียกเก็บอากรเพิ่มเติมกับสินค้านำเข้าจากทุกประเทศทั่วโลก
         
ขณะเดียวกัน ได้ประชุมร่วมกับสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อร่วมกัน “เฝ้าระวัง” และกำหนด “กลุ่มสินค้าที่มีความเสี่ยง” ที่อาจจะทะลักเข้ามาไทย และติดตามสถานการณ์การนำเข้า เพื่อประเมินว่าจะดำเนินการใช้มาตรการ SG หรือไม่
         
ไม่เพียงแค่นั้น ยังกระชับ “กระบวนการไต่สวน” การใช้มาตรการ SG “ให้สั้น” กว่าที่กฎหมายกำหนด โดยกฎหมายกำหนดไว้ 270 วัน และในระหว่างกระบวนการไต่สวนสามารถใช้ “มาตรการชั่วคราว” ได้ เมื่อมี “หลักฐาน” ชัดแจ้งว่าการนำเข้าทำให้เกิดความเสียหาย “อย่างร้ายแรง” เพื่อป้องกันความเสียหายเร่งด่วน และใช้บังคับไม่เกิน 200 วัน
         


พร้อมกับนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในกระบวนการไต่สวนให้รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการเริ่มทดลองใช้ระบบ Electronic – Trade Remedy Platform (e-TR) ในการยื่นคำขอ กระบวนการไต่สวนออนไลน์ และพัฒนาระบบ AI เพื่อใช้สนับสนุนกระบวนการไต่สวน
         
ส่วน “ประเด็นร้อน” อย่างการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา นางอารดา มองว่า การค้าชายแดนเดือน มิ.ย.2568 มีผลกระทบแน่ เพราะช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา ส่งออกได้ 63,078 ล้านบาท เพิ่ม 9% คิดเฉลี่ยต่อเดือนประมาณ 11,000 ล้านบาท

ถ้าปิดด่านยาวถึงสิ้นปี จะกระทบเฉลี่ยเดือนละ 11,000 ล้านบาท รวม 7 เดือน ตัวเลขกลม ๆ ก็ 77,000 ล้านบาท แต่ตัวเลขนี้ ใช่ว่าจะเป็นไปตามนี้เสียทีเดียว เพราะจะมีการส่งออกไปทางอื่นแทน เช่น ทางเรือ เผลอ ๆ การค้าไทย-กัมพูชา อาจจะกระทบไม่มากก็ได้ แต่ไม่ได้ประมาท มีการช่วยหาตลาดใหม่ทดแทน จัดเจรจาจับคู่ธุรกิจ และเพิ่มช่องทางการขายอื่น ๆ ให้กับผู้ส่งออกแล้ว

สำหรับผู้ค้ารายย่อย กระทรวงพาณิชย์ได้เข้าไปช่วยหาสถานที่ใหม่ให้ค้าขาย เช่น พื้นที่ส่วนราชการ หน่วยงานเอกชน ห้างร้านต่าง ๆ เป็นต้น

ทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องหลัก ๆ ที่นางอารดา ในฐานะผู้นำขับเคลื่อนงาน “กรมการค้าต่างประเทศ” ได้ทำไว้ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา และแผนที่จะขับเคลื่อนในช่วง 6 เดือนที่เหลือของปีนี้

นี่ยังไม่รวมเรื่องปลีกย่อยอื่น ๆ อาทิ การพัฒนางานบริการ การสร้างโอกาสทางการค้าให้กับผู้ประกอบการ SME การส่งเสริมสินค้าเกษตรนวัตกรรม ที่มีผลงานโดดเด่นไม่แพ้กัน

หากถาม “ผู้เขียน” ที่มีโอกาสได้เห็น “การทำงาน” และ “การขับเคลื่อน” นโยบายต่าง ๆ ก็ต้องบอกว่า ทุกเรื่อง “มีความคืบหน้า” และ “จับต้อง” ได้จริง  

ส่วนเสียงของ “ผู้ประกอบการ” คิดอย่างไร มองอย่างไร ตอบแทนไม่ได้  

แต่เท่าที่ติดตามดู “เสียงบ่น-เสียงด่า” ไม่มี

มีแต่ “ชื่นชม” ทำงาน “เร็ว” ทำงาน “ไว” แก้ปัญหา “ตรงเป้า” อะไรทำนองนี้มากกว่า
 
ซีเอ็นเอ

ติดตามข่าวสารแบบฉับไว
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
ติดตามข่าวสารผ่าน Twitter
กดคลิก Follow ด้านล่าง