
ก็อย่างที่รู้กัน สหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีตอบโต้รายประเทศ (Reciprocal Tariffs) กับประเทศคู่ค้า ตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย.2568 จากนั้นได้ชะลอออกไปเป็นเวลา 90 วัน แต่ยังเก็บภาษีขั้นต่ำทุกประเทศ 10% และก่อนที่จะถึงเส้นตาย 9 ก.ค.2568 ทุกประเทศมีเวลาที่จะเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อ “ยื่นหมู-ยื่นแมว”
หากประเทศใดเจรจา “ไม่สำเร็จ” สหรัฐฯ ก็จะขึ้นภาษีตามที่ประกาศไว้ตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค.2568 เป็นต้นไป ซึ่งไทย ถูกกำหนดภาษีตอบโต้ไว้ที่อัตรา 36%
ที่ผ่านมา “รัฐบาลไทย” ได้เตรียมการรับมือกับ “นโยบายการค้าสหรัฐฯ” ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2568 ก่อนที่ประธานาธิบดีทรัมป์ จะประกาศขึ้นภาษี โดยวันที่ 6 ม.ค.2568 ได้แต่งตั้ง “คณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐฯ” มี “นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์” เป็นประธาน
ส่วนในระดับ “รัฐมนตรี” มอบให้ “นายพิชัย นริพทะพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์” เป็นผู้ประสานงานหลักกับฝ่ายสหรัฐฯ
ทันทีที่ได้รับมอบหมาย นายพิชัยได้นำ “คณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์” เยือนกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐฯ วันที่ 4-8 ก.พ.2568 เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทยและสหรัฐฯ และหารือกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ เช่น สมาชิกสภาคองเกรส รัฐมนตรี และภาคเอกชน เพื่อดูท่าทีและชี้แจงว่าไทยพร้อมร่วมมือกับสหรัฐฯ ในทุก ๆ ด้าน
จากนั้นนายพิชัยได้กำชับให้ทีมพาณิชย์ คณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐฯ เร่งหารือกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน จัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายที่มุ่งส่งเสริม “ความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับสหรัฐฯ” จนได้ข้อสรุป และลงนามในข้อเสนอดังกล่าวและจัดส่งให้แก่ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 8 พ.ค.2568 ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวได้รับการตอบรับที่ดีอย่างยิ่งจาก “นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ”
ต่อมา นายพิชัยได้มีโอกาสพบปะกับ “นายจามิสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ” ถึงสองครั้ง คือ ในเวทีประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปก เมื่อเดือน พ.ค.2568 ณ จังหวัดเชจู สาธารณรัฐเกาหลี และการประชุมหารือระหว่างผู้บริหารระดับสูงด้านเศรษฐกิจของประเทศสมาชิก OECD เมื่อต้นเดือน มิ.ย.2568 ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยได้ยืนยันถึง “ความพร้อม” ของไทยในการเจรจามาตรการภาษีการค้ากับสหรัฐฯ
ทั้งนี้ นายเจมิสัน ได้ขอบคุณที่ได้จัดส่งข้อเสนอเชิงนโยบายที่มุ่งส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-สหรัฐฯ และขอให้ส่งข้อมูลเพื่ออัปเดตการเจรจากันอย่างต่อเนื่อง พร้อมแสดงความมั่นใจว่าทั้งสองฝ่ายน่าจะได้นัดหมายเพื่อเจรจากันได้ในเร็ววัน
ในที่สุด ก็ได้รับการ “ตอบรับ” จากสหรัฐฯ แจ้งความประสงค์ที่จะเจรจาใน “ระดับเทคนิค” กับไทยมาแล้ว และคาดว่า น่าจะเปิดการเจรจากันได้ในเร็ว ๆ นี้
สำหรับ “ข้อเสนอ” ที่ไทย “เตรียมไว้” สำหรับเจรจาสหรัฐฯ รวมแล้ว 5 ประเด็น มีเป้าหมายหลัก คือ ลดการ “เกินดุลการค้า” กับสหรัฐให้ได้ 50% ภายใน 5 ปี และส่งเสริมความร่วมมือเป็น “หุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ” ที่เพิ่มมากขึ้น ได้แก่
1.ส่งเสริมความร่วมมือธุรกิจอาหารแปรรูปไทย-สหรัฐฯ มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป ด้วยการใช้จุดแข็ง 2 ประเทศร่วมกัน โดยเฉพาะการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ เพื่อเป็นวัตถุดิบแปรรูปและส่งออกไปตลาดโลก และหารือร่วมภาคเกษตรของสหรัฐฯ ที่เป็นฐานเสียงสำคัญทางการเมืองของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
2.เพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ โดยมีแผนเพิ่มการนำเข้าสินค้าจำเป็น อาทิ พลังงาน (น้ำมันดิบ, LNG, อีเทน), เครื่องบินและชิ้นส่วน, อาวุธยุทโธปกรณ์ และผลิตภัณฑ์เกษตรอย่างข้าวโพด ถั่วเหลือง และเนื้อวัว เพื่อกระชับความสัมพันธ์เชิงพาณิชย์ และตอบสนองความต้องการของเศรษฐกิจในประเทศ
3.เปิดตลาดและลดอุปสรรคทางการค้า โดยการลดภาษีนำเข้าภายใต้ระบบ MFN จำนวน 11,000 รายการ ลง 14% รวมถึงการลดอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) เป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของความร่วมมือ อีกทั้งลดโควตาและข้อจำกัดพร้อมเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ เช่น เชอรี่ แอปเปิ้ล ข้าวสาลี ข้าวโพด และผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์
4.เฝ้าระวังและบังคับใช้กฎหมายถิ่นกำเนิดสินค้าอย่างเคร่งครัด เพื่อแก้ปัญหาการสวมสิทธิ์สินค้าจากประเทศที่ 3 ส่งออกผ่านไทยไปสหรัฐฯ
5.ส่งเสริมการลงทุนของเอกชนไทยในสหรัฐฯ ภายใน 4 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน เช่น โครงการลงทุน LNG ในรัฐอลาสก้า และการลงทุนฟาร์มเกษตรขนาดใหญ่ ซึ่งปัจจุบันเอกชนไทยลงทุนในสหรัฐฯ 70 แห่ง ใน 20 มลรัฐ สร้างงานมากกว่า 16,000 ตำแหน่ง มูลค่าการลงทุน 16,000 ล้านดอลลาร์
ทั้งหมดนี้ คือ ข้อเสนอคร่าว ๆ ที่ไทยจะใช้เจรจากับสหรัฐฯ สามารถ “เพิ่มได้-ลดได้” แล้วแต่การเจรจา โดยมีเป้าหมาย ยืนยัน “ความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-สหรัฐฯ” ที่จะต้องเดินหน้าต่อให้ได้
ส่วนการเจรจา จะ “จบเร็ว-จบช้า” และ “ผลสรุป” การเจรจา จะเป็นอย่างไร แล้ว “อัตราภาษีสุดท้าย” ที่สหรัฐฯ จะ “เรียกเก็บ” จากไทย จะมีอัตราเท่าใด
ต้องฝาก “ความหวัง” ทีมเจรจาของไทย
แล้วจากนี้ ก็ต้องมา “รอลุ้น” ไปพร้อม ๆ กัน
หวังว่า จะได้รับ “ข่าวดี” ก่อนถึงเส้นตาย
ซีเอ็นเอ
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง