
“กระทรวงพาณิชย์” โดย “สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)” เพิ่งประกาศตัวเลข “เงินเฟ้อ” ทั้งปี 2565 ไปแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ปรากฏว่า เพิ่มสูงขึ้น 6.08% และอยู่ใน “กรอบ” ที่ประเมินเอาไว้ที่ 5.5-6.5% โดยมีค่ากลางอยู่ที่ 6.0%
แต่ที่หลาย ๆ สื่อ เอาไป “พาดหัว” ให้ดูน่า “ตกใจ” ก็คือ เงินเฟ้อดังกล่าวเพิ่มขึ้น “สูงสุดในรอบ 24 ปี” นับจากปี 2541 ที่เคยเพิ่มขึ้น 8.1%
ดูผิวเผิน ก็น่า “กังวล” เพราะเงินเฟ้อไม่เคยสูงขนาดนี้ในรอบ 24 ปี
อย่างไรก็ตาม เมื่อ “เจาะลึก” ลงไปในเงินเฟ้อที่สูงขึ้น 6.08% นั้น พบว่า มี “รายละเอียด” ที่น่าสนใจอยู่มากมายเลยทีเดียว
โดยเงินเฟ้อ 6.08% มี “ที่มาที่ไป” ดังนี้ โดย 1% มาจากการสูงขึ้นของ “เนื้อสุกร ไก่ และไข่ไก่” 1% มาจาก “อาหารสำเร็จรูป” 1% มาจาก “ค่ากระแสไฟฟ้า” 2% มาจาก “ค่าน้ำมัน” และ 1% สุดท้าย เป็นการเพิ่มขึ้นของ “สินค้าอื่น ๆ”
จาก “ตัวเลขดังกล่าว” ทำให้มองเห็น “สาเหตุ” การเพิ่มขึ้นของ “เงินเฟ้อ” ได้ชัดเจนขึ้น
หรืออธิบายให้เข้าใจชัด ๆ เงินเฟ้อที่สูงขึ้น 6.08% “กระทรวงพาณิชย์” ไม่ได้กำกับดูแลเสียทั้งหมด โดยมี “สัดส่วน” ที่ดูแลและเกี่ยวข้องจริง ๆ ประมาณ “ครึ่งหนึ่ง” ของเงินเฟ้อ ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง เป็น “กระทรวงอื่น หน่วยงานอื่น” ดูแล
เริ่มจาก 1% แรก ที่เป็นการ “สูงขึ้น” ของ “เนื้อสุกร ไก่ และไข่ไก่” จุดนี้ “กระทรวงพาณิชย์” รับผิดชอบดูแล โดยได้เข้าไปติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะทราบดีว่า ผลพวงจากวิกฤต “สงครามรัสเซีย-ยูเครน” ทำให้ราคาธัญพืชโลกปรับตัวสูงขึ้น จนส่งผลกระทบต่อวัตถุดิบที่ใช้ผลิตอาหารสัตว์สูงขึ้นตาม และส่งผลกระทบถึงราคาอาหารสัตว์ และต่อเนื่องถึง “ต้นทุน” การเลี้ยงปศุสัตว์ ทั้งหมู ไก่ ไข่
จึงได้แก้ปัญหาด้วยการ “เปิดช่อง” ให้มี “การนำเข้า” วัตถุดิบอาหารสัตว์ โดยเฉพาะ “ข้าวโพด-ข้าวบาร์เลย์” เพิ่มเพิ่มซัปพลายในประเทศ ทำให้ปัญหา “อาหารสัตว์แพง” บรรเทาลงได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ทั้งหมด ก็เลยส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตเนื้อหมู ไก่ ไข่ จนทำให้ราคาขยับขึ้น
แต่ถ้า “ปล่อยไว้” หรือ “นิ่งเฉย” ไม่ดูแลเลย ราคา “อาหารสัตว์” ที่เป็นต้นทุนการเลี้ยงสัตว์ น่าจะ “ไปไกล” กว่านี้ สินค้ากลุ่มเนื้อสัตว์ น่าจะ “เพิ่มขึ้น” มากกว่านี้
อีก 1% ที่เป็นการสูงขึ้นของ “อาหารสำเร็จรูป” อันนี้ กระทรวงพาณิชย์ก็ปัด “ความรับผิดชอบ” ไม่ได้ เพราะเป็น “ความต่อเนื่อง” ของกลุ่ม “เนื้อสัตว์” ที่สูงขึ้น ก็เลยกระทบต่ออาหารสำเร็จรูปที่ขยับขึ้นตามต้นทุน
และอีก 1% ที่เป็นการสูงขึ้นของ “สินค้าอื่น ๆ” นี่ก็กระทรวงพาณิชย์ดูแล โดยใช้นโยบาย “วินวิน โมเดล” ตามที่ “นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์” ได้สั่งการเอาไว้
หลักในการดูแลราคาสินค้า คือ 3 ฝ่าย ได้แก่ “เกษตรกร ผู้ผลิต ผู้บริโภค” ต้องอยู่ร่วมกันให้ได้ หากจะมีการ “ปรับขึ้นราคาสินค้า” ก็ต้อง “รับภาระ” กันคนละส่วน ไม่โยนภาระให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทั้งหมด และเมื่อ “ต้นทุน” ลดลง ราคาสินค้า ก็ต้อง “ลงตาม” ด้วย
ผลการดำเนินการตามหลักการนี้ ทำให้สินค้าขยับขึ้นลงตามต้นทุน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ก็ “น้ำมันปาล์ม” และ “ปุ๋ยเคมี” เป็นต้น
ส่วนสินค้าอื่น ๆ หากจำเป็นต้องขึ้น ก็ให้ขึ้นตามต้นทุนที่แท้จริง และให้ผู้ผลิตช่วยรับภาระบางส่วน เพราะถ้า “ไม่ให้ขึ้นเลย” อาจจะมีปัญหา “สินค้าขาดแคลน” ตามมา จนในที่สุด ก็มีผลกระทบต่อเงินเฟ้อบ้าง แต่ก็ไม่มากนัก
และในระหว่างที่กำกับดูแลราคาสินค้า ก็มีโครงการ “พาณิชย์ลดราคา! ช่วยประชาชน” ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยผนึกกำลังกับผู้ผลิต ห้างค้าส่งค้าปลีก ร้านสะดวกซื้อ แพลตฟอร์มออนไลน์ ทำการลดราคาสินค้าเกือบตลอดทั้งปี ซึ่งก็ช่วย “ดึง” ราคาสินค้าลงได้
สำหรับอีก 3% ที่เหลือ เป็นความรับผิดชอบของ “กระทรวงอื่น หน่วยงานอื่น” กระทรวงพาณิชย์เป็นแค่ปลายทาง ที่คอยเก็บ “ข้อมูล” เท่านั้น
โดย 1% แรก เป็นการสูงขึ้นของค่า “กระแสไฟฟ้า” ที่ “กระทรวงพลังงาน” เป็นผู้รับผิดชอบ
อีก 2% เป็นการสูงขึ้นของ “น้ำมัน” ที่ “กระทรวงพลังงาน” เป็นผู้รับผิดชอบอีก
สรุปรวมเงินเฟ้อ 3% ใน 6.08% เป็นการสูงขึ้นจากการดำเนินงานของหน่วยงานอื่น แล้วมาบวกเพิ่มในเงินเฟ้อ
ไม่เพียงแค่นั้น ยังส่งผลให้กระทรวงพาณิชย์ต้อง “ตามล้าง ตามเช็ด” เพราะต้นทุน “ค่าไฟฟ้า-ค่าน้ำมัน” ที่สูงขึ้น มีผลกระทบต่อ “ต้นทุน” การผลิตสินค้า ที่ต้องเข้าไปกำกับดูแล ไม่ให้ผู้ผลิตปรับขึ้นราคาอีก แบบว่า “ชะลอ” ได้ ก็ต้องขอให้ชะลอออกไปก่อน
การที่สินค้าแพง ของแพง ส่วนหนึ่ง “กระทรวงพาณิชย์” รับผิดชอบ แต่อีกหลาย ๆ ส่วน กระทรวงอื่น หน่วยงานอื่น รับผิดชอบ การจะ “พุ่งเป้า” มาที่กระทรวงพาณิชย์เพียงอย่างเดียว
แบบนี้ ดูเหมือนจะไม่ค่อย “แฟร์” และ “เป็นธรรม” ซักเท่าไร
ผู้เขียน “ชำแหละ” ข้อมูลการเกิดขึ้นของเงินเฟ้อ 6.08% ที่มองกันว่าพุ่งสูงสุดในรอบ 24 ปีให้ดูกันแล้ว
คงพอ “เห็นภาพ” เงินเฟ้อ “เกิดขึ้น” จากสาเหตุอะไร ใครทำอะไร และใครไม่ทำอะไร เพื่อที่จะช่วยชะลอเงินเฟ้อไม่ให้สูงขึ้น
ไม่ใช่เอะอะอะไรก็ “กระทรวงพาณิชย์”
ที่เขียน ไม่ได้จะมา “แก้ตัว” หรือ “แก้ต่าง” แทน
แค่เอา “ความจริง” มาพูดกัน
ซีเอ็นเอ
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง