
สนค.เผยดัชนีราคาส่งออก เดือน ส.ค.68 เพิ่ม 0.4% จากความต้องการสินค้าไทยที่ยังมีสัญญาณบวก แต่เริ่มชะลอตัวลง หลังมีปัจจัยกดดันหลายด้าน ทั้งภาษีสหรัฐฯ บังคับใช้ ปัญหาขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ กีดกันการค้า บาทแข็ง ส่วนดัชนีราคานำเข้า เพิ่ม 2.7% เหตุนำเข้ามาผลิตเป็นสินค้าส่งออก รองรับการบริโภคในประเทศ คาด ก.ย.68 ยังขยายตัว แต่ต้องระวังเศรษฐกิจโลก ความขัดแย้ง ภาษีสหรัฐฯ สินค้าเกษตรผันผวน และบาทแข็งค่า
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาส่งออกเดือน ส.ค.2568 เท่ากับ 111.1 เพิ่มขึ้น 0.4% จากการความต้องการสินค้าไทยในตลาดโลกที่ยังมีสัญญาณเป็นบวก แต่ก็เริ่มชะลอตัวลง เพราะมีปัจจัยกดดันหลายด้าน ทั้งการเริ่มใช้ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์ในหลายภูมิภาค การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นโยบายกีดกันทางการค้า และการแข็งค่าของเงินบาทที่กระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขัน ส่วนดัชนีราคานำเข้าเท่ากับ 115.8 เพิ่มขึ้น 2.7% จากการนำเข้าเพื่อนำมาผลิตเป็นสินค้าส่งออก และรองรับการบริโภคภายในประเทศและการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว ทำให้ความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้น
สำหรับรายละเอียดดัชนีราคาส่งออกเดือน ส.ค.2568 ที่เพิ่มขึ้น มาจากการเพิ่มขึ้นของหมวดสินค้าอุตสาหกรรม 1.6% ได้แก่ ทองคำ เนื่องจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ทำให้ความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ตามความต้องการอุปกรณ์เพื่อรองรับเทคโนโลยีใหม่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการใช้งาน AI และ Big Data และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ตามความต้องการใช้ในครัวเรือนและเชิงพาณิชย์ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และหมวดสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร เพิ่ม 1.1% ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋อง โดยเฉพาะทูน่ากระป๋อง ขยายตัวดีตามความต้องการของตลาด อาหารสัตว์เลี้ยง ตามจำนวนผู้เลี้ยงสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะสุนัขและแมว และเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ตามความต้องการเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ
ส่วนหมวดสินค้าที่ดัชนีราคาส่งออกลดลง ประกอบด้วย หมวดสินค้าแร่และเชื้อเพลิง ลด 9.3% โดยเฉพาะน้ำมันสำเร็จรูป ตามทิศทางราคาน้ำมันดิบตลาดโลกที่ยังอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากตลาดเผชิญกับภาวะอุปทานส่วนเกิน และหมวดสินค้าเกษตรกรรม ลด 5.6% ได้แก่ ข้าว ผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็งและแห้ง และยางพารา ตามภาวะอุปทานส่วนเกิน ขณะที่ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ตามราคาตลาดโลกที่อ่อนตัวลง รวมถึงเผชิญกับการแข่งขันด้านราคาจากประเทศเพื่อนบ้านที่ราคาถูกกว่า อาทิ เวียดนาม และกัมพูชา
ทางด้านดัชนีราคานำเข้า เดือน ส.ค.2568 ที่เพิ่มขึ้น มาจากการเพิ่มขึ้นของหมวดสินค้าอุปโภคบริโภค 7.5% ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม เครื่องประดับอัญมณี และเครื่องใช้เบ็ดเตล็ด ตามความต้องการสินค้าเพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภคของประเทศ หมวดสินค้าทุน เพิ่ม 5.2% ได้แก่ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ตามความต้องการใช้เพื่อรองรับการขยายตัวของภาคการผลิต การลงทุน และการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล หมวดสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป เพิ่ม 4.9% โดยเฉพาะทองคำ ราคายังทรงตัวในระดับสูง ตามความต้องการสำรองทองคำของธนาคารกลางหลายแห่ง เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก สำหรับปุ๋ย ตามราคาปุ๋ยตลาดโลกที่ปรับสูงขึ้น และอุปกรณ์ ส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ตามการเติบโตของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์โลก ทำให้ความต้องการชิ้นส่วนและอิเล็กทรอนิกส์เพื่อใช้ในการผลิตเพิ่มขึ้น และหมวดยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง เพิ่ม 0.8% โดยเฉพาะส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ ตามการผลิตและส่งออกรถยนต์ที่กลับมาฟื้นตัว โดยเฉพาะการลงทุนในรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และการใช้เทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่เพิ่มขึ้น ขณะที่หมวดสินค้าเชื้อเพลิง ลด 8.9% โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบ ตามความกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานล้นตลาดทั่วโลก
นายพูนพงษ์กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีราคาส่งออกและดัชนีราคานำเข้า เดือน ก.ย.2568 คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่อง โดยปัจจัยที่สนับสนุนให้ดัชนีขยายตัว ได้แก่ ความต้องการบริโภคสินค้าเกษตร และอาหารแปรรูปในตลาดโลกยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง สินค้าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี AI และ Data Center รวมถึงอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ยังเป็นที่ต้องการของตลาดทั่วโลก และต้นทุนการผลิตมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น
ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่ ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้าหลัก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ยังมีแนวโน้มยืดเยื้อในหลายภูมิภาค ความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าและภาษีของสหรัฐฯ รวมถึงนโยบายของหลายประเทศที่มุ่งสนับสนุนอุตสาหกรรมภายในประเทศมากขึ้น ตลอดจนมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม อาจส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศ ราคาสินค้าเกษตรสำคัญบางกลุ่มเผชิญกับปัญหาอุปทานส่วนเกิน และการแข่งขันทางด้านราคา และเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า ซึ่งเป็นข้อจำกัดของภาคการส่งออกไทย
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง