
ส่งออกไทยเดือน ส.ค.68 มูลค่า 27,743.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่ม 5.8% ขยายตัวต่อเนื่อง 14 เดือน แต่เริ่มชะลอตัวลง หลังภาษีสหรัฐฯ เริ่มบังคับใช้ต้นเดือน ส.ค. จากที่ก่อนหน้านี้ มีการเร่งนำเข้า รวม 8 เดือน มูลค่า 223,175.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่ม 13.3% คาดอีก 4 เดือนที่เหลือ เจอของจริง มีแววขยายตัวติดลบ เหตุมีการเร่งนำเข้าเต็มสต๊อก ชายแดนมีปัญหา เกษตรราคาตก บาทแข็ง ฐานปีก่อนสูง แต่ยังมั่นใจทั้งปีโตตามเป้า 2-3%
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกของไทย เดือน ส.ค.2568 มีมูลค่า 27,743.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 5.8% ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 14 แต่เริ่มชะลอตัวลงมากขึ้น หลังจากมีการบังคับใช้อัตราภาษีศุลกากรต่างตอบแทนของสหรัฐฯ ตั้งแต่ช่วงต้นเดือน ส.ค.2568 จากที่ก่อนหน้านี้ มีการเร่งนำเข้า ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 29,707.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 15.8% ขาดดุลการค้า 1,964.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมการส่งออก 8 เดือนของปี 2568 (ม.ค.-ส.ค.) มีมูลค่า 223,175.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 13.3% การนำเข้ามูลค่า 224,880.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 11.3% ขาดดุลการค้า 1,704.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับการส่งออกเดือน ส.ค.2568 สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ลดลง 10.7% โดยสินค้าเกษตร ลด 13.6% สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร ลด 7.2% สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่น ๆ ไก่แปรรูป ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ กุ้งสด แช่เย็น แช่แข็ง ส่วนสินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ ผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็งและแห้ง ยางพารา ข้าว อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป อาหารสัตว์เลี้ยง น้ำตาลทราย ทั้งนี้ 8 เดือนของปี 2568 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร เพิ่ม 1.6%
ส่วนสินค้าอุตสาหกรรม เพิ่ม 11.2% สินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) เครื่องโทรศัพท์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ส่วนสินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์ และส่วนประกอบ อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์และไดโอด ทั้งนี้ 8 เดือนของปี 2568 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม เพิ่ม 17.5%
ทางด้านตลาดส่งออก ยังคงขยายตัว แต่หลายตลาดชะลอตัวจากที่เร่งนำเข้าก่อนภาษีสหรัฐฯ จะบังคับใช้ โดยตลาดหลัก เพิ่ม 4.1% จากสหรัฐฯ เพิ่ม 12.8% จีน เพิ่ม 5.9% อาเซียน (5 ประเทศ) เพิ่ม 1.7% และ CLMV เพิ่ม 0.6% ญี่ปุ่น ลด 5.3% สหภาพยุโรป (27 ประเทศ) ลด 1.6% ตลาดรอง เพิ่ม 4.9% โดยเอเชียใต้ เพิ่ม 17.5% ทวีปออสเตรเลีย เพิ่ม 3.0% แอฟริกา เพิ่ม 4.2% ลาตินอเมริกา เพิ่ม 13.3% รัสเซียและกลุ่ม CIS เพิ่ม 7.4% และสหราชอาณาจักร เพิ่ม 20.2% ส่วนตลาดตะวันออกกลาง ลด 11.6% และตลาดอื่น ๆ เพิ่ม 113.4%
นายพูนพงษ์กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มการส่งออก คาดว่า ตั้งแต่เดือน ก.ย.2568 เป็นต้นไป จะเริ่มเห็นผลกระทบจากอัตราภาษีสหรัฐฯ ชัดเจนขึ้น หากส่งออกได้เฉลี่ยเดือนละ 2.4-2.45 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ การส่งออกในช่วง 4 เดือนที่เหลือ ก็จะขยายตัวติดลบ เพราะฐานปีก่อนสูง และยังมีปัญหาการส่งออกชะลอตัว จากการที่คู่ค้ามีการเร่งนำเข้าก่อนหน้านี้และมีสต็อกเต็ม สถานการณ์การค้าชายแดนที่ยังมีปัญหา สินค้าเกษตรตลาดโลกเพิ่มขึ้น กระทบต่อราคาและการส่งออกของไทย รวมถึงค่าเงินบาทแข็งค่า ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันลดลง แต่ตัวเลขทั้งปี ยังมั่นใจว่าจะทำได้ตามเป้าหมาย 2-3% เพราะผ่านมา 8 เดือน ขยายตัวสูงที่ 13.3%
“การส่งออกเดือน ส.ค.2568 เห็นได้ชัดว่าชะลอตัวลงอย่างชัดเจนในหลายตลาด อย่างสหรัฐฯ ที่เป็นตลาดสำคัญ ก่อนหน้านี้ เป็นช่วงลุ้นเรื่องอัตราภาษีว่าจะอยู่ในอัตราใด ก็มีการเร่งนำเข้า ทำให้ยอดส่งออกไปสหรัฐฯ เพิ่ม โดยเดือน มี.ค. เพิ่ม 34% เม.ย. เพิ่ม 23% พ.ค. เพิ่ม 35% มิ.ย. เพิ่ม 42% ก.ค. เพิ่ม 31.4% แต่มาเดือน ส.ค. เพิ่ม 12.8% เห็นได้ชัดว่าลดลงมาก คาดว่า อีก 4 เดือนที่เหลือ (ก.ย.-ธ.ค.) หลาย ๆ ตลาด จะลดลง และบางตลาดอาจจะกลับมาติดลบก็ได้ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่ต้องจับตา เพราะแม้จะขึ้นภาษี แต่ภาษีไทยเท่ากับคู่แข่ง ก็ยังแข่งขันได้”นายพูนพงษ์กล่าว
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง