
กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเผยธุรกิจตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง สอดรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เน้นความสะดวก สบาย ซื้อสินค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง และมีช่องทางการชำระเงินที่หลากหลาย ชี้เป็นโอกาสใหม่ของผู้ประกอบการทั้งรายเล็ก รายใหญ่ ที่ต้องการลงทุน แต่ต้องปรับตัวให้ทันความต้องการลูกค้า เพิ่มไลน์สินค้าให้หลากหลาย ตู้ต้องพร้อม ระบบชำระเงินต้องเปะ
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมได้ทำบทวิเคราะห์ประจำเดือน ก.ค.2568 พบว่า ธุรกิจตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ (Vending Machine) เป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยที่ตั้งในปัจจุบันส่วนใหญ่จะกระจุกตัวในเขตกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ อาทิ เชียงใหม่ ภูเก็ต และพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ และทำเลที่ติดตั้งตู้จำหน่ายจะอยู่ในบริเวณที่ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้ง่าย เช่น ห้างสรรพสินค้า สำนักงาน คอนโดมิเนียม ปั๊มน้ำมัน สถานีรถไฟฟ้า และโรงพยาบาล เป็นต้น
สำหรับปัจจัยที่สนับสนุนให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าผ่านตู้จำหน่าย คือ สะดวกสบาย ประหยัดเวลา มีสินค้าที่พร้อมจำหน่ายได้ทันที ง่ายต่อการพบเห็นสินค้า สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความสะดวกสบาย สามารถเลือกซื้อสินค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง และมีช่องทางการชำระเงินได้หลากหลาย โดยลูกค้าเลือกช่องทางการจ่ายเงินผ่าน QR Code มากที่สุด และเงินสดรองลงมา ซึ่งแสดงถึงแนวโน้มการเข้าสู่สังคมไร้เงินสดของไทยอย่างต่อเนื่อง
“จากการเติบโตของตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติดังกล่าว เป็นโอกาสใหม่ของผู้ประกอบการทั้งรายเล็กและรายใหญ่ เพราะรูปแบบการลงทุนมีได้หลากหลาย สามารถลงทุนได้ด้วยตนเองผ่านแฟรนไชส์ เช่าเครื่อง หรือร่วมลงทุน รวมถึงใช้เงินลงทุนไม่สูงมาก ไม่ต้องจ้างพนักงาน สร้างรายได้ 24 ชั่วโมง ตอบโจทย์ผู้บริโภค และเป็นช่องทางให้ธุรกิจเข้าใกล้ลูกค้าได้มากขึ้น ประกอบกับสามารถกระจายสินค้าไปยังพื้นที่ใหม่ได้หลากหลาย และยังสามารถนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ อย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) ระบบชำระเงินดิจิทัล และการวิเคราะห์ข้อมูลผู้บริโภค มาเพิ่มศักยภาพการแข่งขันและสร้างความแตกต่างในตลาดได้”นางอรมนกล่าว
อย่างไรก็ตาม กรมขอแนะนำผู้ประกอบการต้องปรับตัวให้ทันกับความต้องการของลูกค้า ให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้า การจัดโปรโมชันหรือระบบสมาชิกเพื่อกระตุ้นการซื้อซ้ำ ตรวจสอบความพร้อมของตู้และระบบชำระเงินให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ และต้องเน้นการเลือกทำเลที่เหมาะสม การสร้างนวัตกรรมบริการใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคไทย อาทิ อาหารสุขภาพ ผลไม้สด หรือสินค้าเฉพาะกลุ่ม เพื่อเสริมสร้างโอกาสทางธุรกิจอย่างยั่งยืนในอนาคต
ปัจจุบันมีนิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจดังกล่าวจำนวน 760 ราย ทุนจดทะเบียน 5,962 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดเล็ก (S) จำนวน 724 ราย คิดเป็น 95% ทุนจดทะเบียน 1,800 ล้านบาท รองลงมา คือ ธุรกิจขนาดกลาง (M) จำนวน 30 ราย คิดเป็น 3.95% ทุนจดทะเบียน 2,303 ล้านบาท และธุรกิจขนาดใหญ่ (L) จำนวน 6 ราย คิดเป็น 0.79% ทุนจดทะเบียน 1,860 ล้านบาท ในปี 2567 มีการจดทะเบียนจัดตั้งใหม่ 86 ราย เพิ่มขึ้น 31 ราย คิดเป็น 56.36% จากปี 2566 ทุนจดทะเบียน 91.35 ล้านบาท และ 7 เดือนของปี 2568 (ม.ค.-ก.ค.) จดทะเบียนจัดตั้งใหม่ 13 ราย ทุนจดทะเบียน 15.56 ล้านบาท
ส่วนการลงทุนจากต่างประเทศ มีมูลค่ารวมกว่า 619 ล้านบาท คิดเป็น 10.38% ของการลงทุนทั้งหมดในธุรกิจนี้ โดยประเทศที่เข้ามาลงทุนมากที่สุดใน 3 อันดับคือ ฮ่องกง ลงทุน 455 ล้านบาท หมู่เกาะเคย์แมน ลงทุน 76 ล้านบาท และออสเตรีย ลงทุน 27 ล้านบาท
ด้านผลประกอบการของธุรกิจตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่อง ในปี 2566 มีรายได้ 7,538 ล้านบาท สามารถสร้างกำไรได้สูงสุดในรอบ 3 ปี (2565-2567) อยู่ที่ 975 ล้านบาท ขณะที่ปี 2567 สร้างรายได้ 10,156 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.74% จากปี 2566 สร้างกำไร 10.15 ล้านบาท
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง