
“ศุภจี”ลุย Quick Big Win มอบ 7 นโยบายเร่งด่วนให้กับทีมพาณิชย์ ยึดหลักทำสั้น ให้ได้ผล กระจายตัวให้ทุกคนได้ประโยชน์ เดินหน้าปิดดีลเจรจาภาษีสหรัฐฯ ก่อนสิ้นปี ช่วยเหลือประชาชน เกษตรกร ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบชายแดนไทย-กัมพูชา ลุยเจรจา FTA ผลักดันใช้ประโยชน์จาก FTA และบุกตลาดใหม่ ดูแลค่าครองชีพ ทั้งลดราคาสินค้า ลดภาระเรื่องยา รักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร โฟกัสข้าวที่กำลังออกสู่ตลาด เสริมแกร่ง SME และปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังประชุมมอบนโยบายแก่ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์ ข้าราชการ พาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ และทูตพาณิชย์ไทยในต่างประเทศ ว่า ได้มอบ 7 นโยบายในการขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงพาณิชย์ในระยะสั้นที่จะต้องดำเนินการเร่งด่วนใน 4 เดือน ภายใต้แนวทาง “Quick Big Win” ที่เน้นความร่วมมือกับทุกฝ่าย โดยทำสั้น ให้ได้ผล และกระจายตัวให้ทุกคนได้ประโยชน์ และมุ่งให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทางเศรษฐกิจโดยเร็ว พร้อมสร้างรากฐานที่มั่นคงและยั่งยืนต่อไปในระยะยาว
สำหรับแนวทางการทำงานที่ต้องการผลักดันให้เกิดผลเป็นรูปธรรม 7 เรื่อง ได้แก่ 1.ภาษีสหรัฐฯ และการเจรจาการค้า จะเร่งสรุป Agreement of Reciprocal Tax (ART) กับสหรัฐฯ ภายในเดือน ธ.ค.2568 ก่อนที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา และนำเข้าสู่รัฐสภา และจะเร่งปรับปรุงกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) และการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (C/O) ให้เป็นระบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ เพื่อป้องกันสินค้าสวมสิทธิ์และเพิ่มความโปร่งใส โดยปัจจุบันได้ผลชัดเจน เช่น จากที่เคยพบเอกสาร C/O ปลอมแปลงหลัก 100 กรณีต่อปี เหลือเพียง 5 กรณีในปี 2567 และไม่พบในปี 2568 ขณะเดียวกัน จะเร่งปรับปรุงกระบวนการเยียวยาทางการค้า ทั้งการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (AD-CVD) การป้องกันการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard) การป้องกันการหลีกเลี่ยง AD-CVD ให้เร็วขึ้น โดยนำ AI มาใช้ตรวจสอบในส่วนของการยื่นคำขอ และร่นกระบวนการไต่สวนให้เร็วขึ้น
2.การค้าชายแดนไทย–กัมพูชา จะช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการใน 7 จังหวัดชายแดนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไม่สงบ โดยจัดมหกรรมธงฟ้าลดค่าครองชีพให้กับประชาชน ช่วยเพิ่มรายได้และช่องทางการตลาดให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการด้วยการนำเข้าร่วมงานมหกรรมธงฟ้าและมหกรรมการค้าชายแดน และร่วมกับไปรษณีย์ไทยสนับสนุนค่าขนส่งฟรี 100 บาทต่อชิ้น ส่วนผู้ส่งออก จะหาตลาดอื่นเพื่อกระจายความเสี่ยง และสนับสนุนด้านโลจิสติกส์ที่จะใช้ส่งออกสินค้าไปทางอื่นที่ไม่ใช่ทางชายแดน
3.FTA และการบุกตลาดใหม่ ปัจจุบันไทยมี FTA 14 ฉบับกับ 18 ประเทศ จะเร่งบังคับใช้ FTA 3 ฉบับ ได้แก่ ไทย–เอฟตา ให้มีผลบังคับใช้ภายในครึ่งแรกปี 2569 FTA ไทย-ศรีลังกา และไทย-ภูฏาน หากบังคับใช้แล้ว จะทำให้ไทยมี FTA 17 ฉบับกับ 24 ประเทศ ซึ่งในส่วนของเอฟตา คาดว่าจะช่วยผลักดันการส่งออกไปยังกลุ่มเอฟตาเพิ่มขึ้น 38% และจะเร่งเจรจา FTA ไทย-สหภาพยุโรป (อียู) และไทย-เกาหลีใต้ ให้สำเร็จภายในสิ้นปี 2568 และวางแผนเจรจากับตลาดศักยภาพใหม่ คือ ตะวันออกกลางและแอฟริกาใต้ ทั้งนี้ จะต้องส่งเสริมและผลักดันให้มีการใช้ประโยชน์จาก FTA เพิ่มขึ้นด้วย ส่วนการบุกตลาดใหม่ จะใช้เครือข่ายทูตพาณิชย์ 58 แห่งทั่วโลก หาตลาดให้กับสินค้าและบริการไทย เช่น ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แอฟริกาใต้ อินเดีย และเวียดนาม และจะจัดคณะผู้แทนการค้าไปเจรจากับผู้นำเข้า และเชิญผู้นำเข้า ผู้ซื้อรายสำคัญมาเยือนไทย
4.ดูแลค่าครองชีพประชาชน จะจัดมหกรรมธงฟ้า 1,300 ครั้งต่อปี และจัดลดราคาสินค้าช่วงเทศกาล เช่น ปีใหม่ ตรุษจีน กินเจ เปิดเทอม คาดลดภาระประชาชนกว่า 5,000 ล้านบาทต่อปี ร่วมมือกับโรงพยาบาลเอกชนกว่า 100 แห่งที่ลงนาม MOU กับกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยราคายาก่อนชำระเงิน เพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกในการซื้อยาภายนอกโรงพยาบาล คาดช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายกว่า 32,400 ล้านบาทต่อปี ทำให้โรงพยาบาลรัฐลดความแออัดลง โรงพยาบาลเอกชนก็จะมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น และยังจะควบคุมโครงสร้างต้นทุนเวชภัณฑ์ อาทิ ผ้าก๊อซ สำลี แผ่นแปะแผล ถุงมือยาง ชุดตรวจ ATK ลดค่าครองชีพอีก 1,100 ล้านบาท
5.รักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร จะประเมินอุปสงค์อุปทานล่วงหน้า ผลผลิตเท่าไร ส่งออกเท่าไร เพื่อจะได้บริหารจัดการให้เหมาะสม จะเร่งหาตลาดใหม่ ทั้งลูกค้าเดิม ลูกค้าใหม่ กำหนดมาตรการดูแลการนำเข้า สินค้าไม่ได้มาตรฐานห้ามนำเข้า ส่วนระยะยาวจะเร่งพัฒนาพันธุ์ข้าว เพิ่มผลผลิตต่อไร่ ผลักดันปลูกพืชอื่นที่มีมูลค่าสูง โดยข้าว ที่เป็นสินค้าสำคัญ จะเร่งช่วยลดต้นทุนผ่านโครงการธงเขียว ลดราคาปุ๋ยเคมีและปัจจัยเกษตร ช่วยดึงดูดผลผลิตช่วงออกมาก ด้วยการชะลอการขาย ทั้งให้สินเชื่อ สนับสนุนสินเชื่อ และเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ ขณะเดียวกัน จะเร่งผลักดันส่องอก อาทิ เร่งรัดจีนซื้อข้าวจีทูจีที่ค้างอยู่ 2.5 แสนตัน และขอให้ซื้อเพิ่มอีก 2.2 แสนตันหรือมากกว่า เพื่อฉลองสัมพันธ์ 50 ปี เจรจากับญี่ปุ่นเพื่อคงการซื้อข้าวไทย 3 แสนตัน และกับสิงคโปร์เพื่อซื้อข้าว 1 แสนตัน นำผู้ประกอบการข้าวเข้าร่วมงานแสดงสินค้า เพื่อเปิดตลาด และเร่งขยายตลาดศักยภาพ อาทิ ซาอุดิอาระเบีย ฮ่องกง ยุโรป ส่วนระยะยาว ผลักดันปลูกพืชมูลค่าสูงแทนปลูกข้าว ที่ทำแล้ว เช่น กล้วย และกำลังเริ่มอะโวคาโด ซึ่งจะขอเกษตรกรให้เปิดใจ ลองทำจากน้อย ถ้าได้ผลดีก็ค่อยทำมาก ผลักดันเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้สูงขึ้น และพัฒนาเมล็ดพันธุ์ตามที่ตลาดต้องการ
6.เสริมแกร่งผู้ประกอบการ SME จะช่วยขยายตลาดใหม่ อาทิ เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา และลาตินอเมริกา พัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ อาทิ การทำบัญชี การค้าขายออนไลน์ เพิ่มช่องทางและโอกาสทางการค้า ผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซไทยและต่างประเทศ เพิ่มมูลค่าสินค้า อาทิ ส่งเสริมสินค้า GI ให้มีจำนวนเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันสร้างรายได้ 82,000 ล้านบาท ผลักดันร้านอาหาร Thai SELECT ให้มีมากขึ้นจากปัจจุบัน ในประเทศ 462 ร้าน ต่างประเทศ 915 ร้าน ผลักดันเพิ่ม Thailand Trust Mark จากปัจจุบัน 2,263 แบรนด์ ร่วมมือสถาบันการเงินช่วยผู้ประกอบการเข้าถึงเงินทุน ปรับปรุงแพลตฟอร์ม “ม็อกฟองดู” เป็นม็อกพลัส ให้ใช้งานง่าย และช่วยแก้ปัญหาให้ได้ครบจบในที่เดียว
7.ปรับกฎระเบียบและใช้เทคโนโลยี จะเร่งปรุงแก้ไขกฎหมาย กฎกระทรวง และระเบียบ เพื่อลดอุปสรรคในการดำเนินงานของภาคเอกชน การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาพัฒนางานบริการเพื่ออำนวยความสะดวก และการใช้ AI มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ทั้งเพิ่มความแม่นยำและความรวดเร็ว
“การทำงานจะเน้นความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพราะเดินคนเดียวไม่ได้ ในกระทรวงพาณิชย์ก็ต้องร่วมมือกัน ทั้งกรม กองต่าง ๆ โดยการทำงานทุกอย่างจะเน้นความโปร่งใส และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศและพี่น้องประชาชน แม้ว่าอายุรัฐบาลจะสั้น แต่พาณิชย์ก็จะยังคงอยู่ โดยอยู่มา 105 ปีแล้ว จะอยู่ไปอีกเป็น 100 ปี เราจะใช้เวลาที่มีทำตามเป้าหมาย Quick Big Win ให้ได้ภายใน 4 เดือนนี้ เพื่อวางรากฐานเอาไว้”นางศุภจีกล่าว
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง