
“ศุภจี”แจงนโยบายเร่งด่วนพาณิชย์ 4 เดือน ในเวทีแถลงนโยบายรัฐบาล ยันมีครบ ทั้งแผนการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ที่มุ่งดูแลเรื่องถิ่นกำเนิดสินค้า การปกป้องผู้ประกอบการไทย การป้องกันสินค้าด้อยคุณภาพและแก้นอมินี การดูแลค่าครองชีพผ่านการจัดงานธงฟ้าและลดภาระเรื่องยาแพง เร่งดูแลสินค้าเกษตรสำคัญ ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง ปาล์ม เพิ่มโอกาส SME ค้าขาย ช่วยเกษตรกร ผู้ประกอบการที่เจอปัญหาชายแดน และเร่งปิดดีล FTA ไทย-อียู ไทย-เกาหลีใต้
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยในการชี้แจงต่อที่ประชุมรัฐสภาในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 1 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาเรื่องด่วน คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชั้น 2 อาคารรัฐสภา เมื่อคืนวันที่ 29 ก.ย.2568 ที่ผ่านมา ว่า กระทรวงพาณิชย์ได้เตรียมมาตรการเร่งด่วนที่จะดำเนินการในช่วง 4 เดือน เพื่อรับมือกับสถานการณ์เศรษฐกิจต่าง ๆ ตามนโยบายรัฐบาลไว้พร้อมแล้ว ทั้งประเด็นการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ การดูแลผู้ประกอบการไทยด้วยการปกป้องสินค้าด้อยคุณภาพและนอมินี การลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน การดูแลราคาสินค้าเกษตรสำคัญ การช่วยเหลือ SME เกษตรกร และผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาชายแดน และการเร่งรัดเจรจา FTA เพื่อสร้างโอกาสทางการค้าให้กับประเทศไทย
โดยในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทย คิดเป็น 10% ของการส่งออกทั้งหมด ได้ตั้งเป้าหมายเร่งเจรจาข้อตกลงการค้า หรือ Agreement on Reciprocal Trade (ART) ให้เสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 2568 เพื่อสร้างความชัดเจนด้านกติกาการค้า ส่วนแนวทางการกำกับดูแลถิ่นกำเนิดสินค้า เพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ กระทรวงพาณิชย์ได้ให้กรมการค้าต่างประเทศเป็นหน่วยงานเดียวที่ออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (C/O) สำหรับการส่งออกไปสหรัฐฯ และเพิ่มรายการสินค้าเฝ้าระวังจาก 45 รายการ เป็น 65 รายการ และใช้ AI ตรวจสอบถิ่นกำเนิด รวมไปถึงออกมาตรการป้องกันการปลอมแปลงเอกสารอย่างเข้มงวด ส่งผลให้จำนวนการปลอม Form C/O ลดลงอย่างชัดเจน ก่อนการใช้ระบบการป้องกันการปลอมแปลง ได้พบการปลอมแปลงเป็นจำนวนมาก คือ ปี 2565 พบการปลอม 149 ฉบับ ปี 2566 พบการปลอม 168 ฉบับ แต่เมื่อนำระบบการป้องกันการปลอมแปลงมาใช้ในปี 2567 พบการปลอมแปลงเพียง 5 ฉบับ และ ในปี 2568 ยังไม่พบการปลอมแปลงเลย
สำหรับแนวทางการป้องกันสินค้าจากต่างประเทศ ปัจจุบันไทยใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) จำนวน 31 กรณี ถูกต่างประเทศใช้มาตรการนี้ 73 กรณี มาตรการหลบเลี่ยง (AC) ไทยใช้ 6 กรณี และถูกใช้ 14 กรณี และมาตรการปกป้อง (SG) อยู่ระหว่างการไต่สวน ถูกใช้ 19 กรณี ส่วนมาตรการตอบโต้การอุดหนุน (CVD) ไทยยังไม่ได้ใช้ แต่ถูกใช้จากต่างประเทศ เช่น สหรัฐฯ 7 กรณี ดังนั้น เพื่อช่วยผู้ประกอบการไทยให้มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพในการดำเนินการ ได้กำหนดแนวทางปรับปรุงกระบวนการ โดย 1.ลดระยะเวลาการรับคำร้องจากเดิม 4 เดือน เหลือ 1 เดือน 2.ใช้เทคโนโลยี AI วิเคราะห์และตรวจสอบข้อมูลจำนวนมาก เพิ่มความแม่นยำและความรวดเร็ว 3.ลดเวลาการไต่สวนจาก 12 เดือน เหลือ 9 เดือน มาตรการเหล่านี้จะช่วยให้กระบวนการตรวจสอบและปกป้องการค้าของไทยรวดเร็วขึ้น ช่วยผู้ประกอบการไทยรับมือการทุ่มตลาดและปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ด้านการแก้ปัญหาสินค้าด้อยคุณภาพทะลักจากต่างประเทศและธุรกิจนอมินี กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมมือกับ 16 หน่วยงาน เพื่อแก้ไขปัญหา โดยปัจจุบันสามารถจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากสินค้านำเข้ามูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท ได้ 2,175 ล้านบาท เข้มงวดมาตรฐานสินค้าโดยดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด 81,719 คดี มูลค่าความเสียหาย 3,541.89 ล้านบาท ตรวจสอบที่ขายสินค้าออนไลน์ 54,868 รายการ ไม่พบผิด 35,964 รายการ แจ้งเตือน 18,904 รายการ ถอดสินค้าออก 17,177 รายการ ส่วนนอมินี ได้เฝ้าระวัง 7 ธุรกิจ ได้แก่ ท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่อง อสังหาริมทรัพย์และเกี่ยวเนื่อง อีคอมเมิร์ซขนส่งและคลังสินค้า โรงแรมและรีสอร์ต ก่อสร้าง การขายที่ดินเพื่อเกษตร และอื่น ๆ โดยร่วมมือกับหลายหน่วยงานเพื่อตรวจสอบ ปัจจุบันมีการดำเนินคดีแล้ว 475 ราย มูลค่าเสียหาย 2,873 ล้านบาท
นางศุภจีกล่าวว่า การลดค่าครองชีพประชาชน จะเดินหน้าจัดโครงการมหกรรมธงฟ้ากว่า 1,300 ครั้ง และลดราคาช่วงเทศกาลสำคัญ อาทิ ปีใหม่ ตรุษจีน กินเจ เปิดเทอม ช่วยลดค่าครองชีพกว่า 5,000 ล้านบาท ร่วมมือโรงพยาบาลเอกชนเปิดเผยค่ายา และให้ประชาชนซื้อยาจากร้านภายนอกโรงพยาบาลได้ ซึ่งเป็น Quick Big Win ลดค่าใช้จ่ายประชาชนรวม 32,400 ล้านบาท พร้อมควบคุมราคายาและเวชภัณฑ์จำเป็น ลดภาระได้อีก 1,100 ล้านบาท
การดูแลสินค้าเกษตรสำคัญมีแผนรับมือระยะสั้นและยาว โดยระยะสั้น ช่วยลดต้นทุนผ่านโครงการธงเขียว ลดราคาปุ๋ยเคมีและปัจจัยเกษตร เตรียมมาตรการรับมือช่วงผลผลิตข้าวออกสู่ตลาด 8.5 ล้านตัน ได้แก่ สินเชื่อชะลอการขาย สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร เพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ และมาตรการช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท และจะเร่งรัดการส่งออก ผลักดันจีนซื้อข้าวจีทูจีที่ค้างอยู่ 2.8 แสนตัน และขอให้เพิ่มปริมาณอีก 2.2 แสนตัน เร่งจัดทำ MOU ใหม่กับสิงคโปร์ รักษาตลาดญี่ปุ่นไม่น้อยกว่าปีละ 3 แสนตัน และขยายตลาดใหม่อย่างซาอุดีอาระเบีย รวมถึงการผลักดันข้าวอินทรีย์ในยุโรปและข้าวหอมมะลิในสหรัฐฯ ส่วนในระยะยาว ผลักดันปรับปรุงพันธุ์ข้าว เพิ่มผลผลิตต่อไร่ ปลูกข้าวให้ตรงกับความต้องการตลาดโลก และส่งเสริมปลูกพืชที่มีมูลค่าสูง เช่น อะโวคาโดในภาคเหนือ ส่วนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มีมาตรการกำหนดราคาซื้อ ควบคุมการนำเข้าข้าวโพดที่มีการเผา มันสำปะหลัง ส่งเสริมแปรรูป ใช้ท่อนพันธุ์ปลอดโรคใบด่าง ควบคุมการนำเข้า ปาล์มน้ำมัน กำหนดราคาซื้อ และพืช 3 หัว เชื่อมโยงการขายและรณรงค์บริโภค
ทางด้านการช่วยเหลือ SME จะเสริมศักยภาพผู้ประกอบการรายย่อย 6 ด้านหลัก ได้แก่ 1.ขยายตลาดใหม่ เจาะตลาดเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา และลาตินอเมริกา 2.พัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ อาทิ การทำคอนเทนต์ออนไลน์ การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสร้างยอดขาย 3.เพิ่มช่องทางและโอกาสทางการค้า ผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซไทยและต่างประเทศ 4.เพิ่มมูลค่าสินค้า ส่งเสริมสินค้า GI, โครงการ Thai SELECT , Thailand Trust Mark และ Made in Thailand เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ 5.เข้าถึงแหล่งทุน ร่วมมือสถาบันการเงินช่วยผู้ประกอบการเข้าถึงสินเชื่อ 6.ปรับปรุงแพลตฟอร์ม “ม็อกฟองดู” ให้ใช้งานง่าย ครบวงจรในที่เดียว
สำหรับมาตรการช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการ 7 จังหวัดชายแดนไทย–กัมพูชา ที่ได้รับผลกระทบจากการปิดด่าน จะจัดงานธงฟ้าราคาประหยัดเพื่อลดค่าครองชีพ เพิ่มช่องทางตลาดให้เกษตรกรและผู้ประกอบการ ผ่านการเข้าร่วมงานมหกรรมธงฟ้า งานมหกรรมการค้าชายแดน และนำสินค้าจำหน่ายออนไลน์ผ่านไปรษณีย์ไทย ส่วนผู้ส่งออกช่วยหาช่องทางใหม่ผ่านการจับคู่ธุรกิจ และช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์
นอกจากนี้ จะเร่งรัดการเจรจา FTA ตั้งเป้าบรรลุข้อตกลง FTA ไทย-สหภาพยุโรป (อียู) ไทย-เกาหลีใต้ ภายในรัฐบาลนี้ และจะเร่งผลักดันให้เอกชนมาใช้สิทธิประโยชน์ เพราะการไปเจรจา FTA มาก ประเทศก็ไม่ได้ประโยชน์ ถ้าไม่ได้ใช้สิทธิประโยชน์ โดยจะเร่งรัดสนับสนุนให้ความรู้ในการให้สิทธิประโยชน์กับภาคเอกชนให้ใช้ได้จริง
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง