​สนค.เผยไทยปรับตัวรับ CBAM สินค้า 2 กลุ่มส่งออกอียูฉลุย แนะคุมคาร์บอนต่อ

img

สนค.ติดตามการส่งออกสินค้าไทยภายใต้มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรป (อียู) พบช่วง 6 เดือน ไทยส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ไปอียู 2 รายการ จาก 6 รายการ สะท้อนอุตสาหกรรมเริ่มปรับตัว และมองเห็นโอกาสในการแข่งขันของตลาดที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน พร้อมแนะผู้ประกอบการปรับตัว ยกระดับคุมคาร์บอน ผลิตสินค้าเป็นมิตรสิ่งแวดล้อม เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ก่อนมาตรการบังคับใช้ 1 ม.ค.69
         
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์  เปิดเผยว่า สนค.ได้ติดตามการส่งออกสินค้าของไทยภายใต้มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism : CBAM) ของสหภาพยุโรป (อียู) พบว่า ในช่วง 6 เดือน ของปี 2568 (ม.ค.-มิ.ย.) มีมูลค่า 203.63 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 29.08% ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพและความสามารถในการปรับตัวของผู้ประกอบการไทย ก่อนที่มาตรการ CBAM จะมีผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบในวันที่ 1 ม.ค.2569
         
สำหรับมาตรการ CBAM ครอบคลุม 6 กลุ่มสินค้า คือ เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียมและของทำด้วยอะลูมิเนียม ซีเมนต์ ปุ๋ย ไฟฟ้า และไฮโดรเจน โดยในช่วง 6 เดือน ไทยส่งออกสินค้าภายใต้มาตรการ CBAM ไปอียูได้ 2 กลุ่มสินค้า คือ เหล็กและเหล็กกล้า มูลค่า 169.78 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 83.38% ของการส่งออกสินค้า CBAM ทั้งหมดจากไทยไปอียู เพิ่มขึ้น 40.36% แต่ส่งออกไปตลาดโลกลชด 15.19% และอะลูมิเนียมและของทำด้วยอะลูมิเนียม มูลค่า 33.85 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 16.62% ลดลง 7.99% แต่ส่งออกไปตลาดโลก เพิ่ม 17.24%
         
นายพูนพงษ์กล่าวว่า มาตรการ CBAM เป็นกลไกสำคัญของนโยบาย European Green Deal ที่อียูตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง แม้ปัจจุบัน การส่งออกกลุ่มสินค้าที่อยู่ภายใต้กฎหมาย CBAM จากไทยไปอียูจะยังมีสัดส่วนไม่สูง เมื่อเทียบกับการส่งออกไปโลก ประมาณ 4.74% ของมูลค่าการส่งออกสินค้า CBAM จากไทยไปโลก แต่การเติบโตที่แข็งแกร่งในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกที่แสดงให้เห็นว่าอุตสาหกรรมไทยเริ่มปรับตัว และมองเห็นโอกาสในการแข่งขันในตลาดที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน  



“การขยายตัวที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เพียงการฟื้นตัวของยอดส่งออก แต่เป็นการยืนยันและแสดงถึงโอกาสและศักยภาพของไทยที่จะสามารถปรับตัวและส่งออกสินค้า CBAM ไปอียูได้มากขึ้นในอนาคต การเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่เพียงเป็นความท้าทาย แต่เป็นโอกาสสำหรับไทยที่จะพัฒนาคุณภาพสินค้าและสร้างความยั่งยืนในการทำธุรกิจ และสามารถใช้มาตรการ CBAM สร้างแต้มต่อให้ไทยแข่งขันได้แข็งแกร่งขึ้นในเวทีการค้า”

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2569 มาตรการ CBAM จะเข้าสู่ช่วงบังคับใช้เต็มรูปแบบ ผู้นำเข้าจะต้องซื้อและส่งมอบ “CBAM Certificate” ตามปริมาณการปล่อยคาร์บอนของสินค้าที่นำเข้า ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยอาจต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นในการตรวจสอบข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดห่วงโซ่การผลิต ดังนั้น เพื่อเปลี่ยนความท้าทายเป็นโอกาสในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ผู้ประกอบการไทยควรศึกษาทำความเข้าใจหลักการของ CBAM และเตรียมความพร้อมในการคำนวณและจัดทำข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้า (Embedded Emission) ยกระดับการผลิต โดยอาจลงทุนในเทคโนโลยีสะอาดหรือปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน

ขณะเดียวกัน ควรแสวงหาการสนับสนุนจากภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่พร้อมให้การสนับสนุนทั้งด้านองค์ความรู้และด้านการเงิน ตลอดจนขยายตลาดเชิงรุก โดยการพัฒนาสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและเจาะตลาดใหม่ ๆ ที่ให้ความสำคัญกับประเด็นด้านความยั่งยืน ไม่ใช่แค่ในอียู แต่รวมถึงสหราชอาณาจักร สหรัฐฯ และออสเตรเลีย ที่กำลังพิจารณาใช้มาตรการในลักษณะเดียวกัน เพราะการปรับตัวให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ไม่เพียงแต่จะช่วยรักษาตลาดยุโรปไว้ได้ แต่ยังเป็นการเปิดประตูสู่โอกาสทางการค้าในเวทีโลกยุคใหม่ที่ความยั่งยืน คือ กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ

ติดตามข่าวสารแบบฉับไว
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
ติดตามข่าวสารผ่าน Twitter
กดคลิก Follow ด้านล่าง