
สนค.ศึกษาการเติบโตของธุรกิจบริการซอฟต์แวร์และดิจิทัลไทย พบขยายตัวต่อเนื่อง มี 3 กลุ่มธุรกิจที่น่าจับตา ซอฟต์แวร์และบริการซอฟต์แวร์ บริการดิจิทัล และดิจิทัลคอนเทนต์ แนะภาครัฐและเอกชน ร่วมมือวางรากฐานนวัตกรรม ทุนหนุนเทคโนโลยี เสริม IP ดิจิทัล และขยายเป้าการค้าการลงทุนดันไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนด้านดิจิทัลของอาเซียน
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค. ได้จัดทำรายงานการศึกษาและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เรื่องปลดล็อกโอกาสเติบโตธุรกิจบริการซอฟต์แวร์และดิจิทัลไทย โดยพบว่า ปัจจุบันโลกเข้าสู่ยุคดิจิทัลและบริการแห่งอนาคต ทั้งการใช้ปัญญาประดิษฐ์ ซอฟต์แวร์และแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ เป็นเครื่องมือธุรกิจ ซึ่งธุรกิจบริการซอฟต์แวร์และดิจิทัล เป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตสูง อีกทั้งธุรกิจบริการซอฟต์แวร์และดิจิทัลของไทยมีศักยภาพในการแข่งขัน จึงเป็นโอกาสที่ไทยจะให้ความสำคัญและส่งเสริมธุรกิจดังกล่าวให้เป็นหนึ่งในธุรกิจขับเคลื่อนภาคบริการของประเทศ
โดยธุรกิจบริการซอฟต์แวร์และดิจิทัลโลก มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีข้อมูลจาก Gartner บริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก รายงานว่า ในปี 2566 มูลค่าการใช้จ่ายด้านธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพิวเตอร์ (IT Service) ของโลก มีการเติบโต 3.8% มูลค่ารวม 4.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และในปี 2567 คาดว่าการใช้จ่ายเกี่ยวกับ IT Service ของโลก จะมีมูลค่าถึง 5.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 7.5% และข้อมูลจาก Trademap พบว่า การค้าบริการระหว่างประเทศของโลก สาขาบริการโทรคมนาคม คอมพิวเตอร์ และสารสนเทศ มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2562-2565 โดยในปี 2565 มีมูลค่า 1.43 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่ม 2.43% คิดเป็นสัดส่วน 10.98% ของการค้าบริการทั้งหมดของโลก ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ธุรกิจบริการซอฟต์แวร์และดิจิทัลเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดดิจิทัลโลก
ทั้งนี้ ในส่วนของไทย ได้พยายามผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัลมาโดยตลอด มีข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล พบว่า ธุรกิจบริการซอฟต์แวร์และดิจิทัลของไทย มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 ธุรกิจบริการซอฟต์แวร์และดิจิทัลไทยมีมูลค่า 567,057 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.79% และในปี 2566 GDP ในสาขาบริการข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร มีสัดส่วน 2.82% ของ GDP ทั้งหมดของไทย และคิดเป็น 4.63% ของ GDP ภาคบริการของไทย
นายพูนพงษ์กล่าวว่า จากการวิเคราะห์ข้อมูลนิติบุคคลไทยของ สนค. พบว่า ในปี 2566 มี 3 กลุ่มธุรกิจที่น่าจับตาและเป็นโอกาสของไทย ได้แก่ 1.กลุ่มธุรกิจซอฟต์แวร์และบริการซอฟต์แวร์ มีมูลค่า 215,191 ล้านบาท ในปี 2566 และเป็นธุรกิจที่ขยายตัวสูงสุดในกลุ่มธุรกิจบริการซอฟต์แวร์และดิจิทัล เพิ่มขึ้น 12.80% มีอัตรารายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นมากที่สุดใน 5 ปีที่ผ่านมา (2562–2566) ที่ 14.75% และมีผลกำไร ในทุกภูมิภาค มีจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ 7,877 ราย อีกทั้งคาดว่าอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์และบริการซอฟต์แวร์ของโลกจะเติบโตได้อีกมากในปี 2567-2569 โดยตัวอย่างธุรกิจที่มีรายได้มากที่สุด เช่น 1.การจัดทำโปรแกรมคอมพิวเตอร์ตามวัตถุประสงค์ของผู้ใช้ ยกเว้นโปรแกรมเว็บเพจและเครือข่าย 2.การจัดทำซอฟต์แวร์สำเร็จรูป ยกเว้นซอฟต์แวร์เกมสำเร็จรูป และ 3.การจัดทำโปรแกรมเว็บเพจและเครือข่ายตามวัตถุประสงค์ของผู้ใช้ เป็นต้น
2.กลุ่มธุรกิจบริการดิจิทัล มีมูลค่า 307,630 ล้านบาท ในปี 2566 เพิ่มขึ้น 9.28% มีการขยายตัวของรายได้เฉลี่ยที่ 0.04% มีจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ 19,235 ราย ซึ่งธุรกิจที่มีศักยภาพเมื่อพิจารณาจากจำนวนนิติบุคคลและรายได้รวมที่มาก ได้แก่ 1.การขายปลีกทางอินเทอร์เน็ต 2.การบริการเทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพิวเตอร์อื่น ๆ 3.การบริการเป็นตลาดกลางในการซื้อขายสินค้าบริการโดยวิธีใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และ 4.ธนาคารและประกันภัย เป็นต้น
3.กลุ่มธุรกิจดิจิทัลคอนเทนต์ มีมูลค่า 44,236 ล้านบาท ในปี 2566 เพิ่มขึ้น 0.01% เป็นธุรกิจอีกหนึ่งกลุ่มที่น่าจับตามอง เนื่องจากสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้สะดวกและรวดเร็ว ธุรกิจกลุ่มนี้มีจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ 6,370 ราย และมีรายได้รวมในปี 2566 อยู่ที่ 1.09 แสนล้านบาท โดยธุรกิจที่น่าสนใจและผลักดันเนื่องจากมีรายได้รวมสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1.การผลิตรายการโทรทัศน์ 2.การขายปลีกเครื่องเล่นวีดิโอเกมและซอฟต์แวร์สำเร็จรูป และ 3.การผลิตภาพยนตร์และวีดิทัศน์
อย่างไรก็ตาม แม้ธุรกิจบริการซอฟต์แวร์และดิจิทัลจะมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ธุรกิจบริการซอฟต์แวร์และดิจิทัลของไทย ก็ยังพบกับความท้าทายอีกหลายประการ อาทิ การเป็นเจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาของผู้ประกอบการไทย รวมถึงข้อจำกัดด้านเงินทุนของผู้ประกอบการรายย่อย ดังนั้น เพื่อส่งเสริมและเพิ่มขีดความสามารถของธุรกิจบริการซอฟต์แวร์และดิจิทัลไทย ภาครัฐและเอกชนควรมีส่วนร่วม โดย 1.วางรากฐานนวัตกรรม อาทิ พัฒนา Digital Park Thailand และพัฒนาความเร็วและเซิร์ฟเวอร์อินเทอร์เน็ตที่ปลอดภัย 2.ทุนหนุนเทคโนโลยี อาทิ เพิ่มมาตรการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับผู้ประกอบการดิจิทัล 3.เสริม IP ดิจิทัล อาทิ เพิ่มมาตรการป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ และสนับสนุนการเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาของผู้ประกอบการไทย และ 4.ขยายเป้าการค้าการลงทุน ผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนด้านดิจิทัลของอาเซียน เพื่อเพิ่มรายได้และโอกาสในการขยายธุรกิจบริการไทยให้เป็นอีกหนึ่งเสาหลักที่ช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืนท่ามกลางบริบทโลกที่ผันผวน
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง