“ภูมิธรรม”หารือเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ย้ำร่วมมือเศรษฐกิจ การค้า ลงทุน และยกระดับการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน ไทยสบช่องขอเพิ่มนำเข้ากล้วยหอมทอง ลดภาษีน้ำตาลทราย ดึงยานยนต์ เครื่องมือแพทย์ หุ่นยนต์ พลังงานสะอาด ลงทุนในไทยและในพื้นที่ EEC แย้มสับปะรดห้วยมุ่น ได้ลุ้นจด GI ในญี่ปุ่น ส.ค.นี้
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการหารือกับนายโอตากะ มาซาโตะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ 13 มิ.ย.2567 ที่กระทรวงพาณิชย์ ว่า ทั้งสองฝ่ายได้เน้นย้ำการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้า และยกระดับการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้านต่อไป เพื่อขับเคลื่อนการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับญี่ปุ่น ในฐานะที่ไทยกับญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดและยาวนาน
ทั้งนี้ ไทยได้เน้นย้ำการใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลง FTA ที่มีอยู่ โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าเกษตรของไทยภายใต้ความตกลง JTEPA เช่น กล้วยหอมทองไปตลาดญี่ปุ่น โดยปีนี้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับภาคเกษตรกรไทยทำสัญญาซื้อขายกับผู้นำเข้าญี่ปุ่นเพื่อเตรียมส่งออกกล้วยหอมทองไปตลาดญี่ปุ่นแล้ว จำนวน 5,000 ตัน และจะเพิ่มปริมาณการส่งออกอีกในปีต่อ ๆ ไป และยังได้ขอให้ญี่ปุ่นสนับสนุนสินค้าน้ำตาลทรายที่ปัจจุบันญี่ปุ่นยังเก็บภาษีและค่าธรรมเนียมในอัตราที่สูง โดยขอให้ญี่ปุ่นพิจารณาให้เจ้าหน้าที่ระดับเทคนิคหารือกัน เพื่อนำไปสู่การลดภาษีต่อไป
สำหรับด้านการลงทุน เห็นว่า ญี่ปุ่นกับไทยถือเป็นพันธมิตรสำคัญในห่วงโซ่อุตสาหกรรมมาโดยตลอด โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ของญี่ปุ่นที่เข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทยกว่า 60 ปี ซึ่งได้เชิญชวนนักลงทุนญี่ปุ่นเข้ามาขยายการลงทุนในไทยเพิ่มเติมในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ทั้งที่เป็นยานยนต์สันดาปและยานยนต์สมัยใหม่ เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ให้กับญี่ปุ่นต่อไป และยังได้เชิญชวนนักลงทุนญี่ปุ่นมาลงทุนในพื้นที่ EEC สำหรับอุตสาหกรรมชั้นนำอื่น ๆ ที่ญี่ปุ่นมีศักยภาพ อาทิ เครื่องมือแพทย์ หุ่นยนต์ และพลังงานสะอาด อีกด้วย
ส่วนความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญา เป็นที่น่ายินดีที่ญี่ปุ่นได้รับจดทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ให้กับสินค้าของไทยแล้ว 2 รายการ คือ กาแฟดอยช้าง และกาแฟดอยตุง ซึ่งได้รับแจ้งว่าสับปะรดห้วยมุ่น จะเป็นสินค้าGI รายการต่อไปที่คาดว่าจะได้รับการจดทะเบียนในเดือน ส.ค.2567 และทั้งสองฝ่ายยังพร้อมที่จะขยายความร่วมมือในการคุ้มครองสินค้า GI ของทั้ง 2 ประเทศต่อไปในอนาคต
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้แสดงความยินดีที่ประเทศหุ้นส่วนกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก หรือ IPEF ได้ร่วมสรุปความตกลงในเสาที่ 2 เรื่องห่วงโซ่อุปทาน เสาที่ 3 เรื่องเศรษฐกิจที่สะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเสาที่ 4 เรื่องเศรษฐกิจที่เป็นธรรม ซึ่งไทยกับญี่ปุ่นพร้อมร่วมผลักดันในการเจรจาเพื่อหาข้อสรุปร่วมกันในเสาที่ 1 เรื่องการค้า ให้ได้ข้อสรุปโดยเร็วต่อไป โดยญี่ปุ่นพร้อมที่จะขับเคลื่อนการดำเนินงานภายใต้กรอบ IPEF ที่เป็นเครื่องมือสำคัญในการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานระหว่างไทยกับญี่ปุ่น และประเทศหุ้นส่วนในภูมิภาค
ปัจจุบันญี่ปุ่นเป็นคู่ค้าอันดับ 3 ของไทย โดยในช่วง 4 เดือนของปี 2567 (ม.ค.-เม.ย.) มีมูลค่าการค้ารวม 17,110.98 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นการส่งออกมูลค่า 7,566.16 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเป็นการนำเข้ามูลค่า 9,544.83 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปยังญี่ปุ่น ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ไก่แปรรูป เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่น ๆ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น และสินค้านำเข้าสำคัญของไทยจากญี่ปุ่น ได้แก่ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง