
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศลงพื้นที่พบปะเกษตรกรและผู้ประกอบการชาจังหวัดเชียงราย จัดสัมมนาติวเข้มช่องทางใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอ ในการส่งออกชาและผลิตภัณฑ์ออกไปขายยังอาเซียนและจีน ที่ลดภาษีให้กับไทยแล้ว พร้อมยันกรณีใบชา ไทยยังไม่ได้ลดภาษีให้จีน ส่วนออสเตรเลีย แม้จะเปิดเสรีปี 63 แต่ก็ไม่น่ากลัว เหตุไม่ใช่ประเทศที่ผลิตและส่งออกชารายใหญ่
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้เตรียมจัดสัมมนาและลงพื้นที่พบปะเกษตรกรและผู้ประกอบการชา ระหว่างวันที่ 20-21 ก.พ.2562 ณ ไร่เชิงตะวัน จังหวัดเชียงราย เพื่อมุ่งต่อยอดองค์ความรู้เกี่ยวกับช่องทางการใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ที่ไทยทำกับประเทศต่างๆ ให้ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมชา เช่น ผู้ปลูกชา โรงงานชา และผู้ส่งออก เตรียมความพร้อมรับมือการค้าเสรี ตลอดจนหารือแนวทางการปรับตัว รวมถึงพัฒนาต่อยอดสินค้าชาและผลิตภัณฑ์ของไทยให้มีศักยภาพ สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก โดยมีวิทยากรจากหลายภาคส่วน อาทิ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย สหกรณ์จังหวัดเชียงราย และภาคเอกชนในพื้นที่ ร่วมบรรยายแบ่งปันองค์ความรู้และประสบการณ์
ทั้งนี้ ไทยสามารถใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอ ในการส่งออกสินค้าชาและผลิตภัณฑ์ไปยังประเทศคู่เจรจา เช่น อาเซียนและจีน โดยได้ยกเว้นการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าชาและผลิตภัณฑ์ให้กับไทยแล้ว ยกเว้นเมียนมาที่ยังมีการเก็บภาษีนำเข้าใบชาอยู่ที่ร้อยละ 5 ขณะที่ไทยก็ได้ยกเว้นภาษีให้กับอาเซียนและจีนเช่นเดียวกัน ส่วนใบชา ไทยลดภาษีนำเข้าให้อาเซียนเหลือร้อยละ 0 แล้ว แต่กับจีนยังไม่ได้ลด เก็บเท่าสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) ที่อัตราร้อยละ 30 ในปริมาณ 625 ตันต่อปี เกินโควตาคิดร้อยละ 90
“ปัจจุบัน ในปี 2560 ไทยส่งออกผลิตภัณฑ์ชาเป็นอันดับที่ 4 ของโลก รองจากแคนาดา สหรัฐฯ และจีน โดยส่งออกเป็นปริมาณ 10,775 ตัน คิดเป็นมูลค่า 958 ล้านบาท ส่งออกไปเมียนมามากสุด ร้อยละ 46 สหรัฐฯ ร้อยละ 27 และสปป.ลาว ร้อยละ 7และส่งออกใบชา 2,710 ตัน คิดเป็นมูลค่า 436 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 49 โดยส่งออกไปยังอินโดนีเซีย ร้อยละ 25 กัมพูชา ร้อยละ 19 และจีน ร้อยละ 1 ซึ่งจะเห็นได้ว่าไทยสามารถใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอในการส่งออกสินค้าชาและผลิตภัณฑ์ไปยังประเทศอาเซียนได้เพิ่มขึ้น รวมถึงตลาดจีนที่มีแนวโน้มส่งออกได้ดีขึ้น”
ส่วนกรณีที่ไทยจะเปิดเสรีสินค้าชาให้กับออสเตรเลียในปี 2563 ภายใต้ความตกลงเอฟทีเอ ไทย – ออสเตรเลีย คาดว่าจะไม่มีผลกระทบกับอุตสาหกรรมชาในประเทศ เนื่องจากออสเตรเลียไม่ใช่ประเทศที่ผลิตและส่งออกชารายใหญ่ ในปี 2561 ไทยมีผลผลิตชาสดประมาณ 93,309 ตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ร้อยละ 27.45 แบ่งเป็นชาอัสสัม 84,231 ตัน คิดเป็นร้อยละ 90.27 ของผลผลิตชาทั้งหมด และชาจีน 9,078 ตัน คิดเป็นร้อยละ 9.73 ในปีเดียวกัน ไทยนำเข้าชา 11,639 ตัน จากประเทศ จีน ร้อยละ49 เวียดนาม ร้อยละ25 และเมียนมา ร้อยละ11
***ติดตามข่าวสารพาณิชย์แบบฉับไว ส่งตรงถึงมือถือได้ที่ http://line.me/ti/p/%40uld0329i
***ติดตามข่าวสารพาณิชย์ ผ่านทวิตเตอร์ https://twitter.com/CNAOnlineTwit
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง