สนค.เผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน พ.ย.68 อยู่ที่ระดับ 51.8 ปรับตัวสูงขึ้นอยู่ในช่วงเชื่อมั่นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 หลังรัฐกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านคนละครึ่ง พลัส แก้หนี้ครัวเรือน ท่องเที่ยว ส่งออกขยายตัว แต่ต้องจับตาราคาพืชเกษตร ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา น้ำท่วมภาคใต้ ที่จะเป็นปัจจัยกระทบ
นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค.ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชน จำนวน 6,456 ราย ครอบคลุมประชาชนทั่วประเทศ พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม เดือน พ.ย.2568 ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 51.8 ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ในช่วงเชื่อมั่นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 โดยเดือน ต.ค.2568 อยู่ที่ระดับ 50.9 สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบัน อยู่ที่ระดับ 42.6 แม้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 40.9 ในเดือนก่อนหน้า แต่มีค่าต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งยังอยู่ในช่วงไม่เชื่อมั่น และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคต (3 เดือนข้างหน้า) อยู่ที่ระดับ 58.0 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 57.6 ในเดือนก่อนหน้า
ปัจจัยที่ส่งผลให้ดัชนีอยู่ในระดับเชื่อมั่น มาจากการเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบาย Quick Big Win ของภาครัฐ ผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและมาตรการช่วยเหลือ ทั้งประชาชนและภาคธุรกิจที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการคนละครึ่ง พลัส มาตรการลดหนี้ครัวเรือน ช่วยเสริมสภาพคล่องและลดภาระค่าใช้จ่ายของครัวเรือนและผู้ประกอบการ ส่งผลเชิงบวกต่อบรรยากาศเศรษฐกิจโดยรวม การขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปี ประกอบกับนโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศของภาครัฐ ช่วยให้จำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวต่างชาติและชาวไทยปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อรายได้ของภาคธุรกิจการค้าและบริการ และภาคการส่งออกไทยยังขยายตัวได้ดี จากอุปสงค์ในตลาดต่างประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับภาครัฐเร่งดำเนินมาตรการทางการค้าเพื่อสนับสนุนการส่งออกให้เติบโตต่อเนื่อง

ส่วนปัจจัยที่ส่งผลให้ดัชนีอยู่ในระดับไม่เชื่อมั่น มาจากหลายปัจจัย อาทิ ความกังวลต่อภาระหนี้สินและค่าใช้จ่ายของประชาชนและภาคธุรกิจที่ยังอยู่ในระดับสูง ราคาพืชเกษตรสำคัญของไทยอยู่ในระดับต่ำกว่าปีที่ผ่านมา ส่งผลต่อรายได้เกษตรกร สถานการณ์น้ำท่วมและสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา โดยสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ ช่วงที่ทำการสำรวจ ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ยังไม่ได้หนัก คาดว่า น่าจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นที่จะสำรวจในเดือนถัดไป รวมถึงปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และสถานการณ์ตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศ ที่อาจส่งผลต่อภาคการผลิต การจ้างงานและการส่งออกของไทย ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องติดตามใกล้ชิดต่อไป
สำหรับปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค พบว่า ด้านเศรษฐกิจไทยส่งผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคมากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 49.75 รองลงมา คือ มาตรการของภาครัฐ ร้อยละ 14.95 เศรษฐกิจโลก ร้อยละ 8.09 ราคาสินค้าเกษตร ร้อยละ 8.01 สังคม ความมั่นคง ร้อยละ 7.47 การเมือง ร้อยละ 5.85 ภัยพิบัติ โรคระบาด ร้อยละ 2.43 ผลจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ร้อยละ 2.06 และ อื่น ๆ ร้อยละ 1.39 ตามลำดับ
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจำแนกรายภูมิภาค จำนวน 5 ภูมิภาค พบว่า ดัชนีอยู่ในช่วงเชื่อมั่น 4 ภาค ได้แก่ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล อยู่ที่ระดับ 61.1 ภาคกลาง อยู่ที่ระดับ 52.4 ภาคเหนือ อยู่ที่ระดับ 50.7 ขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ระดับ 50.6 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าเล็กน้อยจากสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ภาคใต้ ปรับตัวลดลงต่ำกว่าความเชื่อมั่น อยู่ที่ระดับ 49.9 จากความกังวลต่อสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจำแนกรายอาชีพ จำนวน 7 อาชีพ พบว่ามี 4 กลุ่มอาชีพที่ดัชนีอยู่ในช่วงเชื่อมั่น ได้แก่ พนักงานของรัฐ อยู่ที่ระดับ 56.3 ผู้ประกอบการ อยู่ที่ระดับ 53.8 พนักงานเอกชน อยู่ที่ระดับ 51.7 และนักศึกษา อยู่ที่ระดับ 50.2 ในขณะที่มี 3 กลุ่มอาชีพที่ดัชนีอยู่ต่ำกว่าช่วงเชื่อมั่น โดยเกษตรกร อยู่ที่ระดับ 49.9 อาชีพรับจ้างอิสระ อยู่ที่ระดับ 49.8 และ ไม่ได้ทำงาน/บำนาญ อยู่ที่ระดับ 49.7 สำหรับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ที่ระดับ 48.0 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าแต่ยังอยู่ต่ำกว่าช่วงเชื่อมั่น

ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง

