กรมพัฒน์ตรวจนอมินี 34 จังหวัด ส่ง บก.ปอศ. 11 ราย ยื่น ปปง.ฟันรายใหญ่ 61 ราย

img

กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเผยผลตรวจสอบนิติบุคคลกลุ่มเสี่ยงนอมินี ดำเนินการเสร็จแล้ว 34 จังหวัด รวม 404 ราย กำลังส่ง บก.ปอศ. ดำเนินคดี 11 ราย และส่ง ปปง. 61 ราย เป็นกลุ่มทุนต่างชาติขนาดใหญ่ ที่ทำธุรกิจทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ย้ำเดินหน้าจัดการแบบพุ่งเป้าต่อ เพื่อสร้างเสถียรภาพการค้า และส่งเสริมการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ส่วนธุรกิจต่างชาติที่ทำถูกต้อง การันตีได้รับความสะดวกสบายที่สุด
         
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการตรวจสอบนิติบุคคลกลุ่มเสี่ยงของคณะทำงานเพื่อปฏิบัติการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจที่ฝ่าฝืนกฎหมายระดับจังหวัดทั่วประเทศ ใน 6 กลุ่มธุรกิจ ว่า ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ 34 จังหวัด รวม 404 ราย และกรมกำลังดำเนินการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานการกระทำความผิดของธุรกิจกลุ่มเสี่ยงที่มีลักษณะนอมินี ส่งดำเนินคดีตามกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ไปยังกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) จำนวน 11 ราย และได้ตรวจสอบนิติบุคคลเป้าหมายกลุ่มเสี่ยง ซึ่งเป็นกลุ่มทุนต่างชาติขนาดใหญ่ในพื้นที่เสี่ยงสูง และส่งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) รวม 61 ราย
         
โดยนิติบุคคลกลุ่มทุนต่างชาติ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก พื้นที่ต่างจังหวัด จำนวน 34 ราย แบ่งตามประเภทธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และเกี่ยวเนื่อง 10 ราย โรงแรม รีสอร์ต ที่พัก 7 ราย บริการให้คำปรึกษา 5 ราย ธุรกิจก่อสร้าง 3 ราย ธุรกิจนำเที่ยว 1 ราย ธุรกิจเหมืองแร่ 1 ราย ธุรกิจร้านอาหาร 1 ราย และธุรกิจอื่น ๆ 6 ราย และกลุ่มสอง พื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 27 ราย แบ่งตามประเภทธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจซื้อมาขายไป ขายปลีก ขายส่ง 11 ราย ธุรกิจตัวแทนนายหน้านำเข้าส่งออก ชิปปิ้ง 4 ราย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และเกี่ยวเนื่อง 3 ราย ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ต 1 ราย ธุรกิจคลังสินค้า 1 ราย ธุรกิจบริการ (ให้คำปรึกษา จัดแสดงสินค้า รับจัดการ) รวม 7 ราย
         


ทั้งนี้ ยังมีกลุ่มทุนต่างชาติขนาดใหญ่อีกชุดหนึ่งที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบและคัดกรองข้อมูล รวม 763 ราย โดยแบ่งเป็นพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 448 ราย พื้นที่ต่างจังหวัด จำนวน 315 ราย

สำหรับ 6 ธุรกิจเสี่ยงที่ตรวจสอบ ได้แก่ 1.ธุรกิจท่องเที่ยวและที่เกี่ยวเนื่อง อาทิ ภัตตาคาร ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก 2.ธุรกิจค้าที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ 3.ธุรกิจ e-Commerce ขนส่ง และคลังสินค้า 4.ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ต 5.ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการเกษตร และ 6.ธุรกิจก่อสร้างทั่วไป

“กรมจะดำเนินการป้องกันและปราบปรามธุรกิจผิดกฎหมาย โดยเน้นการตรวจสอบแบบเชิงลึก พุ่งเป้ามากขึ้น เพื่อสร้างเสถียรภาพทางการค้า และส่งเสริมเศรษฐกิจไทยให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม โดยจะทำงานร่วมกับพันธมิตรที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อให้สามารถบังคับใช้กฎหมายได้อย่างเข้มข้น แต่ขณะเดียวกันก็จะปรับกระบวนการทำงานเพื่อให้นักลงทุนชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยได้รับความสะดวกมากที่สุด”นายพูนพงษ์กล่าว

ก่อนหน้านี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย (คสธก.) มีนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นรองประธาน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศและอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเป็นเลขานุการ ซึ่ง คสธก. มีหน้าที่และอำนาจในการกำหนดนโยบายและมาตรการที่จำเป็นเร่งด่วนเพื่อบูรณาการหน่วยงานในการป้องกันและปราบปรามสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ด้วยการสั่งให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐปฏิบัติงานภายในขอบเขตหน้าที่และอำนาจตามกฎหมาย รวมทั้งขอความร่วมมือภาคเอกชนเพื่อให้ดำเนินการตามนโยบายและมาตรการเร่งด่วน และติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง รวมถึงประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้เท่าทันและความเข้าใจสถานการณ์ต่อประชาชน


 

ติดตามข่าวสารแบบฉับไว
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
ติดตามข่าวสารผ่าน Twitter
กดคลิก Follow ด้านล่าง