กรมพัฒน์เผยประกาศกำหนดคุณสมบัติผู้ทำบัญชีฉบับใหม่ บังคับใช้ 1 ม.ค.69

img

กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเผยประกาศฉบับใหม่ เรื่อง กำหนดคุณสมบัติและเงื่อนไขของการเป็นผู้ทำบัญชี พ.ศ.2568 จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.69 กำหนดคุณสมบัติผู้ทำบัญชี 6 ข้อ เพื่อยกระดับและส่งเสริมวิชาชีพผู้ทำบัญชีที่มีอยู่กว่า 78,000 ราย ให้ปฏิบัติได้ถูกต้องตามกฎหมาย มีจรรยาบรรณ มาตรฐานวิชาชีพ และช่วยสร้างความโปร่งใสให้กับภาคธุรกิจ
         
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ประกาศกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เรื่อง กำหนดคุณสมบัติและเงื่อนไขของการเป็นผู้ทำบัญชี พ.ศ.2568 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว และจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2569 เป็นต้นไป มีเป้าหมายเพื่อยกระดับและส่งเสริมวิชาชีพผู้ทำบัญชีที่ปัจจุบันมีกว่า 78,000 รายทั่วประเทศ ให้ปฏิบัติได้ถูกต้องตามกฎหมาย มีจรรยาบรรณ รักษามาตรฐานวิชาชีพ และช่วยสร้างความโปร่งใสและสร้างสภาพแวดล้อมการจัดทำบัญชีที่ดีให้กับผู้ทำบัญชี รวมถึงสร้างความโปร่งใสให้กับภาคธุรกิจ
         
สำหรับสาระสำคัญของประกาศกรม ได้กำหนดคุณสมบัติของผู้ทำบัญชีไว้ 6 ข้อ คือ 1.มีถิ่นที่อยู่ในไทย 2.มีความรู้ภาษาไทยเพียงพอที่จะทำหน้าที่เป็นผู้ทำบัญชีได้ 3.มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามที่จะประกอบวิชาชีพเป็นผู้ทำบัญชี และต้องเป็นสมาชิกสภาวิชาชีพบัญชีหรือขึ้นทะเบียนไว้กับสภาวิชาชีพบัญชี ตาม พ.ร.บ.วิชาชีพบัญชี พ.ศ.2547 ทั้งนี้ ผู้ทำบัญชีต้องต่ออายุสมาชิกสภาวิชาชีพบัญชีของปีถัดไป ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ธ.ค.ของทุกปี เพื่อไม่ให้ขาดคุณสมบัติของการเป็นผู้ทำบัญชี 4.ไม่เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกเนื่องจากกระทำความผิดตามฐานความผิดหรือกฎหมายที่กำหนดในมาตรา 39 (3) แห่ง พ.ร.บ.วิชาชีพบัญชี พ.ศ.2547 เว้นแต่ต้องคำพิพากษาหรือพ้นโทษมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี 5.มีคุณวุฒิการศึกษาด้านบัญชีตามที่กำหนด และ 6.ผ่านการทดสอบทางระบบงานผู้ทำบัญชี (e-Accountant) ตามหลักเกณฑ์ที่กรมกำหนด ซึ่งคุณสมบัติข้อสุดท้ายนี้ เป็นคุณสมบัติที่เพิ่มใหม่ เพื่อยกระดับวิชาชีพ โดยวัดความรู้ของผู้ที่จะมาเป็นผู้ทำบัญชี สร้างความเชื่อมั่นให้ธุรกิจ ทั้งนี้ ผู้ทำบัญชีที่คงสถานะเป็นผู้ทำบัญชีอยู่แล้วก่อนวันที่ 1 ม.ค.2569 ไม่ต้องเข้ารับการทดสอบทางระบบงาน
         


ทั้งนี้ ผู้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนทั้ง 6 ข้อ สามารถแจ้งเป็นผู้ทำบัญชีกับกรมได้ และเมื่อกรมรับแจ้งเป็นผู้ทำบัญชีแล้ว ผู้ทำบัญชีทุกคนจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของการเป็นผู้ทำบัญชีอย่างเคร่งครัด เช่น 1.แจ้ง /ยกเลิกธุรกิจที่รับทำบัญชี โดยดำเนินการภายใน 30 วัน นับแต่วันที่รับทำบัญชี หรือวันที่ยกเลิกทำบัญชี 2.ยืนยันการรับทำบัญชี เพื่อมีชื่อในแบบนำส่งงบการเงินของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (ส.บช.3) โดยสามารถยืนยันได้หลังวันสิ้นรอบปีบัญชี แต่ต้องยืนยันก่อนที่ธุรกิจนำส่งงบการเงินต่อกรมฯ 3.รับทำบัญชีได้ไม่เกิน 100 งบการเงินต่อปีปฏิทิน จากเดิมไม่เกิน 100 ราย 4.ต้องเข้ารับการพัฒนาความรู้ต่อเนื่องทางวิชาชีพบัญชี (CPD) ไม่น้อยกว่า 12 ชั่วโมงต่อปีปฏิทิน โดยเป็นชั่วโมงด้านบัญชี ไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง และได้กำหนดให้มีชั่วโมงด้านจรรยาบรรณ ไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง ซึ่งเป็นการเพิ่มใหม่ เพื่อส่งเสริมและสร้างความตระหนักรู้ด้านจรรยาบรรณให้แก่ผู้ทำบัญชีมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ จะต้องแจ้งรายละเอียดการพัฒนาความรู้ต่อเนื่องทางวิชาชีพบัญชี ไม่เกินวันที่ 31 ธ.ค. ของปีที่ได้พัฒนาความรู้ในทุกๆ ปี จากเดิมแจ้งได้ไม่เกิน วันที่ 30 ม.ค.ของปีถัดไป และ 5.เมื่อไม่ประสงค์จะเป็นผู้ทำบัญชีแล้ว ต้องแจ้งยกเลิกเป็นผู้ทำบัญชีกับกรม โดยถือวันที่ผู้ทำบัญชีแจ้งยกเลิกเป็นผู้ทำบัญชีกับกรมเป็นวันสิ้นสุดเป็นผู้ทำบัญชี
         
ขณะเดียวกัน กรมได้พัฒนาระบบงานผู้ทำบัญชี (e-Accountant) เวอร์ชันใหม่ ให้สอดคล้องกับประกาศกรม และเตรียมพร้อมรองรับการใช้งานของผู้ทำบัญชีเมื่อประกาศกรมมีผลบังคับใช้ อีกทั้งยังอำนวยความสะดวกแก่ผู้ทำบัญชีให้ใช้งานง่าย ลดภาระข้อมูลที่ซ้ำซ้อน ประหยัดเวลา และมีบริการค้นหาตรวจสอบข้อมูลผู้ทำบัญชีที่เป็นปัจจุบัน ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงการให้บริการของกรมแบบดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ
         
ที่ผ่านมา กรมพัฒนาธุรกิจการค้า มีภารกิจสำคัญในการกำกับดูแลและส่งเสริมการจัดทำบัญชีของธุรกิจหรือผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี ซึ่งมีจำนวนกว่า 976,000 ราย ให้ถูกต้องตาม พ.ร.บ.การบัญชี พ.ศ.2543 ประกอบด้วย ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน บริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทย และกิจการร่วมค้าตามประมวลรัษฎากร โดยธุรกิจดังกล่าวมีหน้าที่จัดให้มีผู้ทำบัญชีที่มีคุณสมบัติตามที่อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากำหนด เพื่อจัดทำบัญชีให้ถูกต้อง แสดงผลการดำเนินงาน และฐานะการเงินของธุรกิจที่เป็นอยู่ตามความเป็นจริงและตามมาตรฐานการบัญชี ดังนั้น ผู้ทำบัญชีจึงเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญต่อภาคธุรกิจ นอกจากจะช่วยขับเคลื่อนให้ธุรกิจปฏิบัติได้ถูกต้องตามกฎหมายและมีธรรมาภิบาลแล้ว ยังเป็นผู้ช่วยธุรกิจให้มีข้อมูลทางการเงินที่ถูกต้อง สะท้อนสถานะของธุรกิจที่แท้จริง โดยสามารถนำข้อมูลมาใช้วิเคราะห์กลยุทธ์ สร้างความเข้มแข็งให้แก่ธุรกิจต่อไปได้

ติดตามข่าวสารแบบฉับไว
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
ติดตามข่าวสารผ่าน Twitter
กดคลิก Follow ด้านล่าง