
สนค.วิเคราะห์ตลาดชาโลกและไทย พบมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะ ปี 68 มัตจะบูมสุด ๆ แต่ชาชนิดอื่น ๆ ก็เป็นที่ต้องการ ชี้เป็นโอกาสในการส่งออกชาไทยไปขาย แนะเน้นเพิ่มมูลค่าผ่านการสร้างสรรค์และนวัตกรรม ทั้งชาเพื่อสุขภาพ ชาพร้อมดื่ม ชารสชาติแปลกใหม่ และชายั่งยืน
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค.ได้ติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์การค้าสินค้าตลาดชาโลกและไทย พบว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การบริโภคชาได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปี 2568 เกิดปรากฏการณ์กระแสนิยมบริโภคชาเขียวและมัตจะจากสื่อโซเชียลมีเดีย ทำให้มัตจะแท้คุณภาพสูงหาซื้อได้ยากและมีราคาสูงขึ้นอย่างมาก ส่วนผลผลิตก็ลดลงจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ อีกทั้งผู้บริโภคบางกลุ่มมีค่านิยมว่ามัตจะเป็นเสมือนกาเฟอีนสะอาด (Clean Caffeine) สามารถดื่มทดแทนกาแฟ สอดคล้องกับเทรนด์รักสุขภาพ ทำให้ความต้องการเพิ่มขึ้น ส่วนชาชนิดอื่น ๆ ก็มีแนวโน้มการบริโภคเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ จากความต้องการบริโภคชาดังกล่าว เป็นโอกาสในการขยายตลาดส่งออกสินค้าชาของไทย โดยไทยต้องเน้นการเพิ่มมูลค่าผ่านการสร้างสรรค์และนวัตกรรม ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด เช่น ชาเพื่อสุขภาพ (Functional Teas) ที่สามารถเติมส่วนผสม เช่น โพรไบโอติก พฤกษเคมี เช่น อะเซโรลา หรืออาซาอิ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ต้องการลดความเครียด ปรับปรุงระบบการย่อยอาหาร หรือเพิ่มพลังงานธรรมชาติ ชาพร้อมดื่ม (Ready to Drink) ที่เน้นความสะดวก ชาสกัดเย็น เพิ่มรสชาติผลไม้หรือดอกไม้ที่กำลังเป็นที่นิยม ชารสชาติแปลกใหม่ ที่ทำให้ผู้บริโภคคาดไม่ถึงและชวนให้ลิ้มลอง เช่น การผสมผสานกับนมจากพืช (นมอัลมอนด์ นมถั่วเหลือง หรือนมโอ๊ต) ผสมผัก สมุนไพร เครื่องเทศ หรือสินค้าเกษตรอื่น ๆ เช่น มะพร้าว ลิ้นจี่ ลำไย หรือนำไปเป็นส่วนผสมในขนมหวาน ไอศกรีม และชายั่งยืน โดยมีกระบวนผลิตและใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
สำหรับตลาดชาโลก บริษัทวิจัยตลาดโลก Euromonitor รายงานว่า ในปี 2567 ตลาดค้าปลีกชาทั่วโลก มีมูลค่า 51,470 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 3.5% โดยชาดำมีสัดส่วน 41.3% ของมูลค่าการค้าปลีกชาทั่วโลก รองลงมา คือ ชาเขียว 22.8% และชาผลไม้ สมุนไพร 19.5% คาดว่าจากนี้ไป ตลาดค้าปลีกชาโลกจะขยายตัวเฉลี่ย 6.1% ต่อปี โดยในปี 2572 จะมีมูลค่าการค้าปลีกชาอยู่ที่ 69,220.10 ล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ เมื่อเจาะลึกมูลค่าการส่งออกชา และผลิตภัณฑ์ชาของโลก พบว่า ในปี 2567 การส่งออกมีมูลค่ารวม 9,200.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 1.9% โดยแยกเป็นชาดำ 5,650.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 3.0% ชาเขียว 2,023.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 7.3% และผลิตภัณฑ์ชา เช่น สิ่งสกัดจากชา ชาที่ผสมได้ทันที 1,526.3 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 11.9%
ส่วนชาไทย มีข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ในปี 2567 มีผลผลิตชา 106,643 ตัน เพิ่มขึ้น 0.3% โดยศไทยปลูกชาอัสสัมเป็นหลัก 93.0% และคาดการณ์ผลผลิตปี 2568 จะเพิ่มขึ้นเป็น 107,393 ตัน โดยภาคเหนือเป็นแหล่งปลูกชาที่สำคัญของประเทศ และ Euromonitor รายงานว่า ในปี 2567 ตลาดค้าปลีกชาของไทย มีมูลค่า 2,262.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.2% โดยชาเขียวมีมูลค่าสูงสุดถึง 1,040 ล้านบาท สัดส่วน 46.3% ของตลาดชาไทย รองลงมา คือ ชาผลไม้และชาสมุนไพร 23.0% และชาดำ 13.5% ทั้งนี้ คาดว่าตลาดชาไทยจะขยายตัวต่อเนื่องเฉลี่ย 2.2% ต่อปี ไปจนถึงปี 2572 ขณะที่มูลค่าตลาดชาพร้อมดื่มของไทย อยู่ที่ 16,834.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.8% แสดงถึงแนวโน้มความต้องการชาที่พร้อมดื่มและสะดวกสบายเพิ่มขึ้น
ทางด้านการส่งออกชาและผลิตภัณฑ์ชาของไทย ในปี 2567 มีมูลค่า 70.2 ล้านเหรียญสหรัฐ (2,459.4 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 13.6% โดยส่งออกชาดำ 2,460.7 ตัน มูลค่า 13.2 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 38.9% ชาเขียว 1,791.1 ตัน มูลค่า 14.7 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 65.2% และผลิตภัณฑ์ชา 10,382.6 ตัน มูลค่า 42.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 2.5% ส่วนการนำเข้าชาและผลิตภัณฑ์ชาของไทย มีมูลค่า 51.0 ล้านเหรียญสหรัฐ (1,807.7 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 13.6% โดยนำเข้าชาดำ 13,462.5 ตัน มูลค่า 16.3 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 10.9% ชาเขียว 6,451.3 ตัน มูลค่า 11.8 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 16.8% และผลิตภัณฑ์ชา 1,381.2 ตัน มูลค่า 22.9 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 13.4% และในช่วง 8 เดือนของปี 2568 (ม.ค.-ส.ค.) ไทยส่งออกชาและผลิตภัณฑ์ชา มูลค่า 53.3 ล้านเหรียญสหรัฐ (1,762.6 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 21.4% โดยมีตลาดส่งออกที่สำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ กัมพูชา ลาว สหรัฐฯ อินโดนีเซีย เวียดนาม มีสัดส่วน 15.3% 14.9% 12.1% 10.7% และ 8.8% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าชาและผลิตภัณฑ์ชาทั้งหมดของไทยตามลำดับ
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง