
“พาณิชย์”เผยระบบวิเคราะห์พฤติกรรมนิติบุคคล หรือ IBAS ที่จะนำมาใช้คัดกรอง ตรวจสอบ นิติบุคคลกลุ่มเสี่ยงที่อาจเข้าข่ายเป็นนอมินี จะเริ่มใช้งานได้ภายในเดือน ส.ค.นี้ ระบุมีจุดเด่น เป็นการนำเทคโนโลยีมาใช้คัดกรองเชิงลึก แม่นยำ ช่วยเสริมการปราบปรามเชิงรุก และดูแลผู้ประกอบการไทยให้มีการแข่งขันอย่างเท่าเทียม
นายวรวงศ์ รามางกูร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายดิจิทัลและเศรษฐกิจดิจิทัลกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ระบบวิเคราะห์พฤติกรรมนิติบุคคล หรือ Intelligence Business Analytic System (IBAS) ซึ่งเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล Big Data ที่กระทรวงพาณิชย์พัฒนาขึ้น เพื่อคัดกรอง ตรวจสอบนิติบุคคลกลุ่มเสี่ยงที่อาจเข้าข่ายเป็นนอมินี และละเมิดการประกอบธุรกิจภายใต้ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 รวมถึงกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง คาดว่าจะเริ่มใช้งานได้ภายในเดือน ส.ค.2568 นี้
สำหรับระบบ IBAS มีจุดเด่นในการคัดกรองเชิงลึกแบบ Targeted Screening ที่แม่นยำสูง สามารถตรวจจับความเชื่อมโยงระหว่างบุคคลและนิติบุคคลได้อย่างรวดเร็ว นำไปสู่การดำเนินการปราบปรามเชิงรุกอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการใช้เทคโนโลยีขับเคลื่อนกลไกการกำกับดูแลให้มีประสิทธิภาพ สร้างความมั่นใจแก่ผู้ประกอบการไทย และเสริมศักยภาพให้แข่งขันได้อย่างเท่าเทียมกัน
ทั้งนี้ ยังได้มอบนโยบายให้เร่งเชื่อมโยงและบูรณาการข้อมูลกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมสรรพากร กรมศุลกากร กรมที่ดิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อยกระดับความสมบูรณ์ของฐานข้อมูลกลาง โดยระบบ IBAS จะไม่ใช่แค่เครื่องมือของรัฐ แต่เป็นหลักประกันความมั่นคงให้กับระบบเศรษฐกิจไทย ช่วยให้ภาครัฐสามารถตรวจสอบและป้องกันความผิดได้ตั้งแต่ต้นทาง ไม่ต้องรอให้ปัญหาเกิดขึ้นแล้วจึงเข้าไปแก้ไข
“ปัญหานอมินี เป็นภัยเงียบที่ส่งผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจไทยในระยะยาว ไม่สามารถอาศัยแรงงานเจ้าหน้าที่เพียงอย่างเดียวได้ ต้องอาศัยเทคโนโลยี และข้อมูล รวมถึงการบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานภาครัฐ โดยการพัฒนาระบบ IBAS เป็นหนึ่งในมาตรการภายใต้นโยบายของคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ที่มีนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน มีเป้าหมายเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เป็นธรรมสำหรับผู้ประกอบการที่สุจริต และป้องกันการใช้ช่องว่างทางกฎหมายในการแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรม“ นายวรวงศ์กล่าว
ส่วนผลการดำเนินงานจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ตั้งแต่เดือน ก.ย.2567 ถึง 31 พ.ค.2568 ได้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับสินค้าผิดกฎหมายจำนวน 57,739 คดี มูลค่าความเสียหายกว่า 2,287 ล้านบาท สามารถจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท ได้ถึง 1,875 ล้านบาท และดำเนินการ Notice and Takedown เพื่อลบสินค้าผิดกฎหมายออกจากแพลตฟอร์มออนไลน์มากกว่า 14,976 รายการ พร้อมปราบปรามธุรกิจนอมินีแล้ว 861 ราย รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 15,296 ล้านบาท
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง