
“แพทองธาร”นำทีมรัฐบาลผนึกภาคเอกชน ช่วยเหลือชาวสวนผลไม้ เข้ารับซื้อผลผลิต นำกระจายผ่านช่องทางต่าง ๆ เป้าหมายกว่า 1 แสนตัน พร้อมจัดกิจกรรมกระตุ้นการบริโภค และเร่งส่งออกตลาดจีนและตลาดศักยภาพ
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลตระหนักถึงปัญหาผลผลิตผลไม้ล้นตลาด โดยเฉพาะมะม่วง มังคุด เงาะ และทุเรียน จึงมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงยุติธรรม และภาคเอกชน เร่งดำเนินแผนรับซื้อผลไม้จากเกษตรกรในแหล่งผลิต ผ่าน 4 แนวทางสำคัญ ได้แก่ การรับซื้อเพื่อจำหน่ายแก่ผู้บริโภค รับซื้อเพื่อกิจกรรม CSR รับซื้อเพื่อบริโภคในองค์กร และรับซื้อโดยหน่วยงานภาครัฐ เช่น กรมราชทัณฑ์ เพื่อนำไปประกอบอาหาร
โดยวันนี้ได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน 9 กลุ่ม 27 ราย ในการรับซื้อผลไม้รวม 103,760 ตัน โดยมีสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมผู้ค้า-ส่งออกผลไม้ไทย และเอกชนรายใหญ่อย่าง บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด รับซื้อผลไม้รวมปริมาณกว่า 55,500 ตัน ด้านห้างค้าปลีกค้าส่งรายใหญ่ รับซื้อผลไม้กว่า 34,450 ตัน ปั๊มน้ำมัน ตู้เต่าบิน ไปรษณีย์ไทย หน่วยงานรัฐและมูลนิธิต่าง ๆ อีกรวม 13,810 ตัน ซึ่งรัฐบาลขอขอบคุณพันธมิตรภาคเอกชนที่เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกผลไม้ในปีนี้
นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีกิจกรรมกระตุ้นการบริโภคผลไม้ในประเทศ เพิ่มช่องทางการจำหน่ายให้เกษตรกร ยกระดับราคาผลไม้ให้เหมาะสมอย่างทั่วถึงตลอดฤดูกาลโดยรณรงค์บริโภคผลไม้ผ่านสื่อโซเชียล โดย KOL ที่มีชื่อเสียง เพื่อขยายฐานผู้บริโภค รวมถึงการจัดกิจกรรมส่งเสริม เช่น การประกวดเมนูอาหารจากผลไม้สดและนวัตกรรม งาน Thai Fruits Festival ซึ่งคาดว่าจะช่วยระบายผลไม้ในประเทศได้กว่า 346,500 ตัน จากเป้าหมายรวม 730,000 ตัน
ส่วนของมาตรการการส่งออกผลไม้ไปต่างประเทศ ปี 2568 รัฐบาลตั้งเป้าการส่งออก ปริมาณ 4.13 ล้านตัน เพิ่ม 3% มูลค่า 8,800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่ม2% หรือ 308,000 ล้านบาท โดยเฉพาะตลาดใหญ่อย่างจีน รัฐบาลได้มีมาตรการด้านการสร้างความเชื่อมั่นผลผลิต โดยรัฐบาลเร่งผลักดันการตรวจรับรองมาตรฐาน GAP และตั้งศูนย์ Set Zero เพื่อสร้างความมั่นใจในคุณภาพผลไม้ไทย รวมถึงจัดตั้ง War Room เพื่อขับเคลื่อนการส่งออกอย่างเร่งด่วน พร้อมจัดชุดเฉพาะกิจเจรจากับจีน ซึ่งล่าสุดสำนักงานศุลกากรจีน (GACC) ได้ประกาศลดระดับการสุ่มตรวจสาร BY2 สำหรับทุเรียนไทยที่มีระบบจัดการดี มีผลตั้งแต่วันที่ 10 พ.ค.2568 ถือเป็นผลสำเร็จจากความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรฯ และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
สำหรับตลาดต่างประเทศ รัฐบาลวางกลยุทธ์เจาะ 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มตลาดศักยภาพ 7 ประเทศ ได้แก่ ฮ่องกง มาเลเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ออสเตรเลีย และสหราชอาณาจักร กลุ่มตลาดส่งเสริมภาพลักษณ์ 2 ภูมิภาค คือ ตะวันออกกลาง และเอเชียใต้ เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ผลไม้ไทย กลุ่มตลาดที่สะดวกต่อการขนส่ง 4 ประเทศ CLMV ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ซึ่งสามารถขยายการส่งออกผ่านระบบโลจิสติกส์ที่มีต้นทุนต่ำ
ขณะเดียวกัน ภาครัฐจะดำเนินการส่งเสริมการขายผลไม้ไทยในต่างประเทศ ผ่านการร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติ (Trade Fairs) และการส่งเสริมการขายในต่างประเทศ (Trade Promotion) เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าและขยายตลาดผลไม้ไทยให้ครอบคลุมยิ่งขึ้นด้วย
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง