ไทยอันดับ 6 ส่งออกอาหารจากพืช “พาณิชย์”แนะพัฒนาสินค้าเพิ่ม คาดยอดกระฉูดแน่

img

สนค.ติดตามการส่งออกสินค้ากลุ่มอาหารจากพืช พบไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับ 6 ของโลก ส่งออกปี 64 มูลค่า 2,852 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสัดส่วน 4.1% ของมูลค่าส่งออกทั้งโลก เผยเครื่องดื่มเป็นกลุ่มที่ส่งออกได้ดีสุด ตามด้วยอาหารปรุงแต่ง และโปรตีนเข้มข้น แนะต่อยอดพัฒนาสินค้า นมจากพืชเป็นเนย ชีส โยเกิร์ต ไอศกรีม ครีมเทียมจากพืช นมมะพร้าวออร์แกนิก เนื้อจากจากพืช ผงโปรตีนจากพืช จะทำให้มีโอกาสส่งออกได้มากขึ้น รวมถึงกลุ่มอาหารพร้อมทานจากพืช
         
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค. ได้ศึกษาติดตามแนวโน้มสถานการณ์การค้าและการส่งออกอาหารจากพืช หรือแพลนต์เบสต์ฟู้ด (Plant Based Foods) และโอกาสทางการค้าของไทย ตามนโยบายของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่มุ่งเน้นการผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารของโลก เพื่อยกระดับอาหารไทยเป็นอาหารโลก พบว่า ไทยมีการส่งออกสินค้าในกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันเป็นผู้ส่งออกอันดับ 6 ของโลก มีการส่งออกในปี 2564 มูลค่า 2,852 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 4.1% ของมูลค่าการส่งออกทั้งโลกในปี 2564 ที่มีมูลค่า 69,297 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยอันดับ 1 คือ สหรัฐฯ มูลค่า 8,040 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 11.6% รองลงมา คือ สิงคโปร์ มูลค่า 6,544 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 9.4% เยอรมนี มูลค่า 5,966 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 8.6% เนเธอร์แลนด์ มูลค่า 5,358 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 7.7% และจีน มูลค่า 2,960 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 4.3% โดยผู้นำเข้าสำคัญ 5 รายแรกของโลก คือ สหรัฐฯ จีน เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และแคนาดา มีสัดส่วนของมูลค่าการนำเข้าอยู่ที่ 12.2% , 6.9% , 4.4% , 3.8% และ 3.5% ของมูลค่าการนำเข้าของทั้งโลกตามลำดับ
         
ทั้งนี้ สินค้าแพลนต์เบสต์ฟู้ด ยังไม่มีพิกัดศุลกากรแยกเฉพาะ สนค. ได้ใช้พิกัดศุลกากรระดับพิกัด 6 หลัก กำหนดโดยองค์การศุลกากรโลก เพื่อให้ประเภทสินค้าตรงกันและสามารถเปรียบเทียบกัน โดยสินค้าโปรตีนจากพืชจะอยู่ภายใต้ประเภทและพิกัดศุลกากร 3 กลุ่มหลัก คือ 1.อาหารปรุงแต่งอื่น ๆ ที่ไม่ได้ระบุหรือรวมไว้ที่อื่น (พิกัดฯ 2106.90) เช่น เต้าหู้ ครีมเทียม 2.เครื่องดื่มอื่น ๆ (พิกัดฯ 2202.99) เช่น นมถั่วเหลือง และ 3.โปรตีนเข้มข้นและสารเทกซ์เจอร์โปรตีน (พิกัดฯ 2106.10) เช่น ผงโปรตีนจากพืช เนื้อจากพืช
         
โดยจากการแยกกลุ่มดังกล่าว พบว่า สินค้ากลุ่มใหญ่สุดที่มีการส่งออก คือ กลุ่มอาหารปรุงแต่งอื่น ๆ มีมูลค่า 52,916 ล้านเหรียญสหรัฐ ผู้ส่งออกสำคัญ ได้แก่ สิงคโปร์ สหรัฐฯ และเยอรมนี รองลงมา คือ เครื่องดื่ม มีมูลค่า 13,289
ล้านเหรียญสหรัฐ ผู้ส่งออกสำคัญ ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ ไทย และเนเธอร์แลนด์ และโปรตีนเข้มข้นและสารเทกซ์เจอร์โปรตีน มีมูลค่า 3,092 ล้านเหรียญสหรัฐ ผู้ส่งออกสำคัญ ได้แก่ สหรัฐฯ จีน และเนเธอร์แลนด์
         


สำหรับรายละเอียดการส่งออกของไทย ในปี 2564 ที่มีมูลค่า 2,852 ล้านเหรียญสหรัฐ พบว่า สินค้ากลุ่มใหญ่สุดที่ไทยส่งออก คือ 1.เครื่องดื่ม มีมูลค่า 1,502 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 52.7% ของการส่งออกทั้งหมด ตลาดส่งออกสำคัญ คือ เวียดนาม กัมพูชา เมียนมา จีน และ สปป.ลาว 2.อาหารปรุงแต่งอื่น ๆ มีมูลค่า 1,347 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 47.2% ตลาดส่งออกสำคัญ คือ สหรัฐฯ จีน เมียนมา ญี่ปุ่น และกัมพูชา และ 3.โปรตีนเข้มข้นและสารเทกซ์เจอร์โปรตีน มีมูลค่า 2.3 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 0.1% ตลาดส่งออกสำคัญ คือ ฮ่องกง ไต้หวัน จีน สหรัฐฯ และเมียนมา ตามลำดับ
         
นายพูนพงษ์กล่าวว่า สินค้าที่ไทยมีขีดความสามารถในการส่งออก คือ สินค้าเครื่องดื่ม ซึ่งนมจากพืชอยู่ในกลุ่มนี้ โดยไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับ 2 ของโลก มีมูลค่าส่งออก 1,502 ล้านเหรียญสหรัฐ รองจากสวิตเซอร์แลนด์ มูลค่า 1,953 ล้านเหรียญสหรัฐ และนมจากพืชเป็นสินค้ากลุ่มใหญ่สุดในตลาดอาหารโปรตีนจากพืช โดยปัจจุบันไทยส่งออกนมถั่วเหลืองเป็นหลัก ยังมีโอกาสที่ไทยสามารถพัฒนาสินค้านมจากพืชให้หลากหลายและช่วยสนับสนุนภาคเกษตรไทย อีกทั้งสามารถต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์นมที่ทำจากพืช เช่น เนย ชีส โยเกิร์ต และไอศกรีม
         
ส่วนกลุ่มอาหารปรุงแต่ง มีสินค้าสำคัญในกลุ่มนี้ที่ไทยส่งออก เช่น ครีมเทียม ปี 2564 ส่งออกมูลค่า 323 ล้านเหรียญสหรัฐ หากพัฒนาสินค้าครีมเทียมของไทยเป็นครีมเทียมจากพืช ก็จะตอบโจทย์แนวโน้มตลาดที่มีความต้องการโปรตีนจากพืชมากขึ้น นมมะพร้าวออร์แกนิก เป็นอีกสินค้าที่น่าสนใจในกลุ่มนี้ มีมูลค่าการส่งออกเติบโตสูง จาก 0.014 และ 0.7 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มเป็น 5.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2562 2563 และ 2564 ตามลำดับ ขณะที่เต้าหู้ มูลค่าการส่งออกค่อนข้างคงตัว 2-3.5 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี และจากข้อมูลของสมาคมอาหารจากพืชของสหรัฐอเมริกา (PBFA) ในปี 2564 มูลค่ายอดขายสินค้าอาหารจากพืชในตลาดสหรัฐฯ ขยายตัวทุกกลุ่ม ยกเว้น กลุ่มเต้าหู้และถั่วเหลืองหมัก ที่หดตัว
         
สำหรับสินค้ากลุ่มโปรตีนเข้มข้นและสารเทกซ์เจอร์โปรตีน เช่น เนื้อจากจากพืช ผงโปรตีนจากพืช สินค้ากลุ่มนี้ ไทยยังมีมูลค่าการส่งออกน้อย สามารถพัฒนาศักยภาพการส่งออกและเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรไทย โดยเฉพาะกลุ่มผงโปรตีนจากพืช ซึ่งการผลิตผงโปรตีนมีระดับการพัฒนาเทคโนโลยีไม่สูงมากหากเทียบกับการผลิตเนื้อเทียมจากพืช สามารถส่งเสริมผู้ประกอบการรายย่อยของไทยในการผลิตและส่งออกได้
         


นายพูนพงษ์กล่าวว่า นอกจากสินค้าโปรตีนจากพืช 3 กลุ่ม สินค้าอาหารพร้อมทาน (Meals) เป็นสินค้าอีกกลุ่มที่มีศักยภาพสูง จากข้อมูลของ PBFA ในปี 2564 ยอดขายสินค้าอาหารพร้อมทานจากพืชในตลาดสหรัฐฯ มีมูลค่า 513 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นกลุ่มสำคัญรองจาก นมจากพืช เนื้อจากพืช และครีมจากพืช เพราะความสะดวกสบาย ความรีบเร่งของสังคมเมือง และความหลากหลายของสินค้า ทำให้ตลาดอาหารพร้อมทานเติบโต ไทยสามารถนำเสนออัตลักษณ์อาหารไทย วัตถุดิบ เครื่องปรุง เครื่องเทศ สมุนไพรของไทย ซึ่งช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันโรค สอดคล้องกับแนวโน้มสังคมสูงวัย และการเติบโตของกระแสรักสุขภาพ
         
อย่างไรก็ตาม กฎระเบียบเป็นอีกเรื่องที่ผู้ประกอบการต้องคำนึงถึง เพราะอาหารจากพืชมีประเด็นเรื่องการติดฉลาก (Labelling) รัฐบาลบางประเทศออกกฎระเบียบเกี่ยวกับการติดฉลาก เช่น แอฟริกาใต้ ฝรั่งเศส ตุรกี อินเดีย และสหรัฐฯ ในบางมลรัฐ เพื่อกำกับดูแลไม่ให้ผู้บริโภคสับสน เช่น ไม่ให้ฉลากอาหารจากพืชใช้ชื่อที่สื่อถึงความเป็นเนื้อสัตว์ จึงต้องศึกษาข้อมูลด้านการติดฉลากเพื่อปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎระเบียบประเทศนำเข้า และอาหารจากพืชที่ผลิตด้วยนวัตกรรมใหม่ ๆ สามารถเข้าข่ายเป็นอาหารใหม่ (Novel Food) ซึ่งหมายถึง อาหารที่ทำจากวัตถุดิบที่ไม่เคยนำมาบริโภคเป็นอาหารมาก่อน มีประวัติการบริโภคเป็นอาหารมาไม่นาน หรือมีกระบวนการผลิตโดยใช้เทคโนโลยีที่ไม่เคยใช้มาก่อน ซึ่งต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เช่น สหภาพยุโรป มีกฎระเบียบ EU Novel Food Regulation 2015/2283 ในส่วนของไทยมีประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 376) พ.ศ. 2559 เรื่อง อาหารใหม่ (Novel Food) เป็นต้น
         
ปัจจุบัน แพลนต์เบสต์ฟู้ด ไม่มีนิยามที่ชัดเจน แต่ในความหมายที่คนส่วนใหญ่ที่เข้าใจร่วมกัน คือ อาหารที่มีส่วนประกอบจากพืชทั้งหมด ไม่มีส่วนผสมของผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ซึ่งพืชครอบคลุมทั้งผัก ผลไม้ ธัญพืช พืชหัว พืชฝักตระกูลถั่ว ผลไม้แห้งเปลือกแข็ง เมล็ดพืช เห็ดรา และสาหร่าย เช่น สมาคมอาหารจากพืชของสหรัฐอเมริกา (PBFA) และสมาคมอาหารจากพืชของยุโรป (ENSA) ต่างนิยาม แพลนต์เบสต์ ฟู้ด ว่าหมายถึง อาหารจากพืชที่ไม่มีส่วนผสมจากสัตว์ โดยเน้นอาหารจากพืชที่ให้โปรตีนเป็นหลัก โดยบลูมเบิร์กสำรวจสถานการณ์ตลาดแพลนต์เบสต์ฟู้ดของโลก คาดว่าในปี 2573 (2030) แพลนต์เบสต์ฟู้ดจะมีสัดส่วนประมาณ 7.7% ของแหล่งโปรตีนในตลาดโลก และมีมูลค่า 162,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จาก 29,400 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2020 โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก คาดว่าในปี 2573 ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะมีประชากรถึง 4,600 ล้านคน เป็นตลาดที่สำคัญสำหรับโปรตีนจากพืช โดยมูลค่าตลาดจะสูงถึง 64,800 ล้านเหรียญสหรัฐ จาก 13,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2563 สินค้าสำคัญสำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก คือ ผลิตภัณฑ์นมจากพืช ขณะที่ภูมิภาคอเมริกาเหนือ และยุโรป จะมีมูลค่าตลาดประมาณ 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และแอฟริกา ตะวันออกกกลาง และลาตินอเมริกา จะมีมูลค่าประมาณ 8,000-9,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในแต่ละภูมิภาค

 

ติดตามข่าวสารแบบฉับไว
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
ติดตามข่าวสารผ่าน Twitter
กดคลิก Follow ด้านล่าง