​ดัชนีเงินเฟ้อ-วัสดุก่อสร้างโฉมใหม่

img

ปัจจุบันการเก็บข้อมูลราคาสินค้า เพื่อจัดทำ “ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป” หรือ “เงินเฟ้อ” จะใช้วิธีการสำรวจราคาสินค้าและบริการที่อยู่ในตะกร้าจำนวน 464 รายการ   
         
โดย 464 รายการ อยู่ใน “หมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์” สัดส่วน 39.51% อาทิ ข้าว แป้ง เนื้อสัตว์ ไข่ นม ผัก ผลไม้ เครื่องประกอบอาหาร เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์น้ำตาล อาหารสำเร็จรูป
         
อยู่ใน “หมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม” สัดส่วน 60.49% อาทิ เครื่องนุ่งห่มและรองเท้า เคหสถาน การตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล ค่าโดยสารสาธารณะ น้ำมันเชื้อเพลิง การสื่อสาร บันเทิง การอ่าน การศึกษา ยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์
         
สำหรับการจัดเก็บข้อมูลราคาที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์จะใช้วิธีส่งคนไป “เดินตลาด” และ “เข้าห้าง” เพื่อสำรวจราคา ทำกันเป็นประจำทุกเดือน เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของราคาว่า “ทรงตัว” หรือ “เพิ่มขึ้น” หรือ “ลดลง” แล้วนำมาคำนวณเป็น “เงินเฟ้อ” ในแต่ละเดือน
         
แน่นอนว่า วิธีการนี้ ใช้ “กำลังคน” เป็นจำนวนมาก
         
แต่ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี “สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)” ในฐานะหน่วยงานที่จัดทำ “ดัชนีเงินเฟ้อ” มองว่า ควรจะมีการ “ปรับปรุง” วิธีการเก็บข้อมูลราคาสินค้าและบริการ ที่จะนำมาใช้ในการคำนวณเงินเฟ้อใหม่
         
และไหน ๆ จะทำแล้ว ก็รวม “ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง” เข้าไปด้วยเลย  
         
เพราะการจัดทำดัชนีทั้ง 2 ดัชนี สามารถใช้ “ประโยชน์” จาก “เทคโนโลยี AI” มาเป็น “เครื่องมือหลัก” ในการตรวจสอบ วิเคราะห์ และประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ได้
         


หลังจาก “แนวคิด” ชัดเจน “นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการ สนค.” ได้เดินหน้าขับเคลื่อนการจัดเก็บ “ดัชนีเศรษฐกิจการค้า” รูปแบบใหม่ทันที
         
เริ่มจากนัด “หารือ” และ “ทำความเข้าใจ” กับภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง จะมา “ร่วมมือกัน” อย่างไร-วิธีการไหน
         
โดยภาคเอกชนที่ว่า ได้แก่ สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ห้างค้าส่งค้าปลีกรายใหญ่ 5 ราย ได้แก่ เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล ซีพี ออลล์ ฟู้ดแลนด์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต ซีพี แอ็กซ์ตร้า และ ซี.เจ.เอ็กซ์เพรส และผู้ประกอบการวัสดุก่อสร้าง 4 ราย ได้แก่ โฮม โปรดักส์ ซีอาร์ซี ไทวัสดุ เมกาโฮม เซ็นเตอร์ และเอสซีจี ดิสทริบิวชั่น

เหตุผล” ที่ต้องร่วมมือกับ “สมาคมผู้ค้าปลีกไทย-ห้างค้าส่งค้าปลีก-ผู้ประกอบการวัสดุก่อสร้าง” เพราะ “พฤติกรรมการบริโภค” ของประชาชน และ “กิจกรรมทางเศรษฐกิจ” สมัยใหม่ ล้วนมี “ความเกี่ยวข้อง” กับสินค้าและบริการจากร้านค้าชั้นนำเหล่านี้ ไม่มากก็น้อย

หากมีการ “เชื่อมโยงข้อมูล” จะเป็นการ “ยกระดับ” การจัดทำ “ดัชนีเศรษฐกิจการค้า” ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ข้อมูล “ถูกต้อง-แม่นยำ” และ “สะท้อนความเป็นจริง” มากขึ้น

สิ่งที่กำลังจะ “เกิดขึ้น” นับจากนี้ ก็คือ จะมีการร่วมมือกันทางด้านเทคนิค เช่น วิธีการเชื่อมต่อข้อมูล มาตรฐานข้อมูล และขอบเขตการส่งข้อมูล ให้แล้วเสร็จภายใน 2 เดือน

โดย สนค. ได้เสนอแนวทางพัฒนาการเชื่อมต่อข้อมูลระดับ SKU ให้ครอบคลุมกว่า 20,000 รายการ หรือราว 70-80% ของตะกร้าเงินเฟ้อ



การบูรณาการข้อมูลในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับมาตรฐานข้อมูลเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะตัวเลขเงินเฟ้อ และดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง เพราะจะเป็นกลไกหลักในการกำหนดนโยบายระดับมหภาค ไม่ว่าจะเป็นการพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบาย มาตรการดูแลค่าครองชีพ สวัสดิการภาครัฐ การปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ตลอดจนการสร้างความโปร่งใสในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างและการลงทุนก่อสร้างของภาครัฐ”นายนันทพงษ์กล่าว

นอกจากนี้ การเปิดกว้างให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในระบบข้อมูลครั้งนี้ สะท้อนบทบาทใหม่ของ สนค. ที่กำลังก้าวสู่การเป็น Data & Intelligence Hub ของประเทศ เพื่อสร้างรากฐานข้อมูลที่มีคุณภาพ รองรับการตัดสินใจเชิงนโยบาย และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้แข่งขันได้อย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัล

ก็อย่างที่รู้กัน การเก็บข้อมูลแบบเดิม ๆ ที่ใช้วิธีการ “เดินสำรวจ” และ “ลงบันทึก” หากผิดพลาดเพียงเล็กน้อย ข้อมูลที่ได้ ก็อาจจะไม่สะท้อน “ความเป็นจริง” ในขณะนั้น ๆ ได้

แต่การรายงาน “ดัชนีเงินเฟ้อ” และ “ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง” รูปแบบใหม่ ที่คนจะเข้ามาเกี่ยวข้องน้อยที่สุด เทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทมากที่สุด จะแก้ “ข้อกังวล” และ “ความไม่เชื่อมั่น” ตรงนี้ลงไปได้

เมื่อมี “ข้อมูล” ที่ “ถูกต้อง” ก็จะเป็น “รากฐาน” ให้กับรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปจัดทำ “นโยบายที่ดี” เพื่อให้เกิดประโยชน์ทั้งกับ “ประชาชน” และ “ภาคธุรกิจ
         
อีกหนึ่ง “ผลงานดี ๆ” ของ สนค. ที่กำลังจะเกิดขึ้น 
 
ซีเอ็นเอ

ติดตามข่าวสารแบบฉับไว
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
ติดตามข่าวสารผ่าน Twitter
กดคลิก Follow ด้านล่าง