กรมการค้าต่างประเทศเตรียมจัดฝึกอบรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ ให้ความรู้ผู้ประกอบการ เรื่อง การรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง (Self-Certification) วันที่ 6 และ 7 พ.ย.นี้ ที่ศูนย์ฝึกอบรมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ช่วยผู้ประกอบการได้ทดลองใช้ระบบ รับคำปรึกษาแบบใกล้ชิด เพื่อผลักดันให้มีการใช้ระบบด้วยตนเองมากขึ้น รองรับการเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ ม.ค.69 ที่จะถึงนี้
         
นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมมีกำหนดจัดฝึกอบรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ (Workshop) เพื่อให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการ เรื่อง การรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง (Self-Certification) เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้า เพิ่มแต้มต่อทางการค้า ส่งเสริมการใช้สิทธิพิเศษทางภาษี และสร้างโอกาสด้านการแข่งขันให้สินค้าไทยในตลาดโลก ในวันที่ 6 พ.ย.2568 และ 7 พ.ย.2568 ณ ศูนย์ฝึกอบรมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กรุงเทพฯ

โดยผู้ประกอบการจะได้ทดลองใช้ระบบจริงที่ได้พัฒนาขึ้นใหม่สำหรับขั้นตอนการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ส่งออกที่ได้รับสิทธิพิเศษ และการรายงานข้อมูลการส่งออก รวมทั้งสามารถขอคำปรึกษาแนะนำจากเจ้าหน้าที่ได้อย่างใกล้ชิด เพื่อผลักดันให้มีการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าจากการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองให้มากขึ้น และยังเป็นการเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการเข้าใช้งานระบบดังกล่าวได้อย่างราบรื่น รองรับการให้บริการอย่างเป็นทางการได้ในเดือน ม.ค.2569
         


ที่ผ่านมา กรมได้ดำเนินการพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์อย่างต่อเนื่องให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยยกระดับการให้บริการ และเชื่อมโยงข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการสามารถขึ้นทะเบียนเป็นผู้ส่งออกรับอนุญาต (Approve Exporter) เพื่อทำการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองลงในเอกสารทางการค้าได้ ณ สถานประกอบการ ซึ่งเป็นวิธีการที่สะดวกรวดเร็ว ลดภาระขั้นตอน และลดค่าใช้จ่าย

ปัจจุบัน ผู้ส่งออกสามารถดำเนินการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองได้ 3 กรอบความตกลง ได้แก่ 1.ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ASEAN Wide Self-Certification) 2.ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) และ 3.ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ (AANZ) และยังสามารถขอรับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) ของสวิสเซอร์แลนด์และนอร์เวย์ (REX System)

นอกจากนี้ กรมยังอยู่ระหว่างการเจรจาให้สามารถรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองภายใต้กรอบความตกลงการค้าอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น FTA ไทย–เอฟตา , FTA ไทย–อียู และ FTA ไทย–เกาหลีใต้ เป็นต้น ซึ่งหากเจรจาสำเร็จ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการส่งออกของไทยได้เพิ่มขึ้น