
กรมพัฒนาธุรกิจการค้าลุยแล้ว ลงพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติการตรวจค้นเป้าหมาย 4 จุด เกาะพะงัน พบพฤติการณ์เข้าข่ายใช้คนไทยถือหุ้นแทนคนต่างชาติ 2 ธุรกิจ “สำนักงานบัญชี-อสังหาริมทรัพย์” เดินหน้าตรวจสอบเชิงลึก รวบรวมพยานหลักฐานส่งดำเนินคดีตามกฎหมาย
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 21 ต.ค.2568 ที่ผ่านมา ได้มอบหมายให้ มล.ภู่ทอง ทองใหญ่ รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ลงพื้นที่เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี ร่วมกับคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดของคนต่างด้าวในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติการตรวจค้นเป้าหมาย 4 จุด และดำเนินการกับธุรกิจที่มีพฤติการณ์ฝ่าฝืนกฎหมายตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 รวมถึงให้คำแนะนำแก่ผู้ประกอบการไทยในการดำเนินธุรกิจให้ถูกต้องตามกฎหมาย
โดยผลจากการตรวจสอบ พบธุรกิจที่มีลักษณะต้องสงสัยเกี่ยวกับการใช้คนไทยถือหุ้นแทนชาวต่างชาติ (นอมินี) ใน 2 กลุ่มธุรกิจ คือ 1.สำนักงานบัญชี ภายใต้ชื่อสำนักงานเฟิร์สคอนซัลแทนส์ ยูนิเวอร์แซล เซอร์วิส (บริษัท เฟิร์ส คอนซัลแทนส์ 47 จำกัด) โดยเจ้าของสำนักงานแห่งนี้มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ใน 66 บริษัท โดยเป้าหมายทั้ง 3 จุด ที่ได้ลงพื้นที่มีความเชื่อมโยงกับเจ้าของสำนักงานบัญชีดังกล่าว (อาคารพาณิชย์ 2 แห่ง และบ้านพัก) พบว่า อาคารพาณิชย์ที่ลงตรวจเป็นที่ตั้งของนิติบุคคลรวมกันถึง 89 แห่ง โดยไม่ปรากฏการประกอบธุรกิจจริงในบางห้อง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ตรวจยึดเอกสารและคอมพิวเตอร์เพื่อนำไปตรวจสอบว่ามีการใช้คนไทยเป็นนอมินีในการประกอบธุรกิจแทนชาวต่างชาติหรือไม่และใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินทางคดี โดยกรมยังได้เรียกเอกสารเพิ่มเติมให้เจ้าของสำนักงานบัญชีและนิติบุคคลที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจงต่อกรมให้ครบถ้วนเพื่อตรวจสอบในเชิงลึกต่อไป
2.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (โครงการก่อสร้างอาคารวิลล่าโครงการศิธายา บีช ฟร้อนท์ วิลล่า) พบเป็นวิลล่าหรู 8 หลัง เปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่าคืนละ 13,000 บาท โดยไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการโรงแรม เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง จึงได้เชิญผู้ดูแลโครงการและนักท่องเที่ยวต่างชาติ 6 ราย ไปสอบสวนเพิ่มเติม เบื้องต้นพบข้อมูลที่น่าสงสัยเกี่ยวกับการถือครองที่ดินของโครงการวิลล่าดังกล่าวมูลค่ากว่า 152 ล้านบาท โดยมีบริษัทนิติบุคคลสัญชาติไทย 2 แห่งถือครอง แต่มี ผู้ถือหุ้นชาวอิสราเอล ในสัดส่วน 49% และต่อมามีการเพิ่มบริษัทที่เป็นชาวอิสราเอลเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มอีก 1 บริษัท อาจเข้าข่ายเป็นการซื้อขายเพื่อหลบเลี่ยงการเสียภาษี และการถือหุ้นอำพรางเข้าข่ายเป็นนอมินี กรมจะดำเนินการตรวจสอบในเชิงลึก และรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดส่งให้พนักงานสอบสวนดำเนินการตามกฎหมาย และขยายผลไปยังนิติบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการใช้ช่องว่างทางกฎหมายครอบครองธุรกิจของชาติอย่างไม่ถูกต้อง
ทั้งนี้ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นการซื้อขายที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ เป็นธุรกิจที่ห้ามมิให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยเด็ดขาด และกรณีธุรกิจให้เช่าหรือนายหน้าหรือตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ คนต่างด้าวจะประกอบธุรกิจต้องได้รับอนุญาตจากอธิบดีโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวก่อน เพื่อคุ้มครองประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศ และสร้างการแข่งขันทางธุรกิจที่เป็นธรรมต่อผู้ประกอบการไทย
นายพูนพงษ์กล่าวว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิบัติการปราบปรามธุรกิจนอมินี เพื่อขยายผลการกระทำผิดของนิติบุคคล และยกระดับการกำกับดูแลธุรกิจให้เป็นไปตามกฎหมาย เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างโปร่งใสและเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย เพราะการกระทำนอมินี เป็นการบิดเบือนโครงสร้างทางเศรษฐกิจและทำให้ผู้ประกอบการไทยเสียเปรียบในการแข่งขัน โดยกรมพร้อมร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ตำรวจท่องเที่ยว สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กรมสรรพากร สำนักงานที่ดิน และหน่วยงานในพื้นที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
ก่อนหน้านี้ ช่วงเดือน ก.ค.2568 2568 ที่ผ่านมา กรมได้ลงพื้นที่ตรวจสอบกลุ่มเป้าหมายใน จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นพื้นที่ ๆ มีธุรกิจกลุ่มเสี่ยงสูงเป็นอันดับ 2 ของประเทศ จากข้อมูลนิติบุคคลเป้าหมายทั่วประเทศจำนวน 7,096 ราย ผลการตรวจสอบครั้งนั้น พบว่า มีนิติบุคคลที่จัดเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงที่ควรพิจารณาดำเนินการตรวจสอบในลำดับแรก คือ ผู้ถือหุ้นคนไทยจำนวน 5 ราย (นิติบุคคล 1 ราย บุคคลธรรมดา 4 ราย) ที่มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นในหลายบริษัทรวม 256 บริษัท ตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.เกาะพะงัน รวมทั้งกรณีมีที่ตั้งสำนักงานซ้ำกันกว่า 100 บริษัท
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง