​“พาณิชย์”คุมเข้มสินค้าใช้ได้สองทาง เตรียมเปิดให้ตรวจสอบ พร้อมขอใบอนุญาตส่งออก

img

กรมการค้าต่างประเทศเดินหน้าคุมเข้มสินค้าที่ใช้ได้สองทาง (DUI) เพื่อป้องกันการนำไปใช้ประกอบเป็นอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง ดีเดย์เปิดให้ตรวจสอบสินค้าหมวด 0 เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ อุปกรณ์แขนกล และยูเรเนียมธรรมชาติ จำนวน 41 สินค้า มูลค่าส่งออกปี 67 จำนวน 4.37 แสนล้าน ตั้งแต่ 1 ต.ค.68 ก่อนยื่นขอใบอนุญาตได้ ธ.ค.68 จากนั้นจะทยอยให้ครบทั้ง 10 หมวด มูลค่าส่งออกรวม 3.51 ล้านล้านต่อไป เล็งขยับหมวดสินค้าที่เสี่ยงนำไปใช้ในสงครามมาให้ตรวจสอบก่อน

นายดวงอาทิตย์ นิธิอุทัย รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมจะเริ่มใช้มาตรการใบอนุญาตส่งออก (Export License) สำหรับสินค้าที่สามารถนำไปใช้เพื่อเป็นสินค้าปกติและใช้เป็นส่วนประกอบในอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (WMD) หรือที่เรียกกันว่าสินค้าสองทาง (Dual-Use Items : DUI) ที่เกี่ยวข้องกับนิวเคลียร์ เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจสินค้าไทยในเวทีโลกและนักลงทุนต่างชาติว่าไทยยืนอยู่ข้างสันติภาพของโลก โดยมีสินค้าที่อยู่ในข่ายควบคุมจำนวน 10 หมวด (หมวด 0-9) รวมจำนวน 1,775 สินค้า คิดเป็นมูลค่าส่งออกในปี 2567 ที่ผ่านมา จำนวน 3.51 ล้านล้านบาท คิดเป็น 30% ของยอดส่งออกรวมที่มีมูลค่ากว่า 10 ล้านล้านบาท

สำหรับสินค้า DUI ทั้ง 10 หมวด ได้แก่ หมวด 0 จำนวน 41 สินค้า อาทิ เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ อุปกรณ์แขนกล และยูเรเนียมธรรมชาติ เป็นต้น หมวด 1 จำนวน 483 สินค้า อาทิ วัสดุพิเศษและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง หมวด 2 จำนวน 218 สินค้า อาทิ การแปรรูปวัสดุ หมวด 3 จำนวน 237 สินค้า อาทิ อิเล็กทรอนิกส์ หมวด 4 จำนวน 21 สินค้า อาทิ คอมพิวเตอร์ หมวด 5 จำนวน 96 สินค้า อาทิ โทรคมนาคมและการรักษาความปลอดภัยข้อมูล หมวด 6 จำนวน 353 สินค้า อาทิ เซนเซอร์และเลเซอร์ หมวด 7 จำนวน 93 สินค้า อาทิ ระบบนำร่องและระบบอิเล็กทรอนิกส์การบิน หมวด 8 จำนวน 58 สินค้า อาทิ ยานพาหนะและอุปกรณ์ทางทะเล หมวด 9 จำนวน 171 สินค้า อาทิ การบิน อวกาศและการขับดัน



ทั้งนี้ กรมจะนำร่องบังคับใช้มาตรการออกใบอนุญาตสำหรับการส่งออกและการส่งกลับสินค้า DUI หมวด 0 ก่อน โดยผู้ส่งออกต้องตรวจสอบว่าสินค้าของตนเป็น DUI หมวด 0 หรือไม่ ผ่านระบบ e-Classification ของกรมที่ www.etcwmd.dft.go.th หากพบว่าเป็น DUI จะต้องยื่นขออนุญาตผ่านระบบ e-DUI Licensing ที่กรมพัฒนาขี้นมาโดยเฉพาะเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ส่งออก พร้อมแนบเอกสารประกอบ เช่น หนังสือรับรองการใช้สุดท้าย และเอกสารการซื้อขายสินค้า ซึ่งปัจจัยสำคัญที่จะใช้ในการพิจารณาของกรม คือ ผู้ซื้อและการใช้งานสุดท้ายของสินค้านั้นจะถูกใช้อย่างไร หรือหลักการ KYC (Know Your Customer) นั่นเอง โดยระบบ e-classification จะเริ่มเปิดระบบให้ผู้ประกอบการตรวจสอบได้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2568 และผู้ประกอบสามารถยื่นขอใบอนุญาตผ่านระบบ e-DUI Licensing ได้ตั้งแต่ช่วงเดือน ธ.ค.2568

ขณะเดียวกัน กรมจะขยายกรอบการควบคุม โดยจะทำเป็นระยะ ๆ ค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้ผู้ประกอบการได้เรียนรู้และปรับตัวไปจนกระทั่งควบคุมครบทั้ง 10 หมวดของสินค้า DUI ภายในไตรมาส 2 ปี 2569 โดยจะประเมินรายการสินค้าอีกครั้ง จากสถานการณ์ด้านการส่งออกของไทยควบคู่ไปกับสถานการณ์ด้านความเสี่ยงด้านความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งอาจจะนำการตรวจสอบสินค้าหมวด 7 8 และ 9 มาบังคับใช้ก่อน เพราะเป็นสินค้าที่หลายประเทศมีความกังวลว่าจะถูกนำไปใช้ในการทำสงคราม

มาตรการดังกล่าว เป็นการดำเนินการภายใต้ข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) 1540 และ พ.ร.บ.การควบคุมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง พ.ศ.2562 โดยสินค้าที่เข้าข่ายเป็นสินค้า DUI ในหมวด 0 ที่ได้นำร่องนั้น ไทยมีการส่งออกในปี 2567 เป็นมูลค่า 4.37 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ เนเธอร์แลนด์ ไต้หวัน จีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น เป็นต้น

ติดตามข่าวสารแบบฉับไว
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
ติดตามข่าวสารผ่าน Twitter
กดคลิก Follow ด้านล่าง