
สนค.ติดตามสถานการณ์การบริโภคน้ำมันพืชทั่วโลก ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบเติบโตเฉลี่ย 2.48% ต่อไป เพิ่มขึ้นทุกน้ำมันพืช ชี้เป็นโอกาสขยายตลาดน้ำมันพืชไทยออกสู่ตลาดโลกได้เพิ่มขึ้น เหตุไทยมีจุดแข็ง ปลูกพืชน้ำมันได้หลายชนิด มีกำลังการผลิตที่มีมาตรฐาน เผยน้ำมันปาล์ม น้ำมันรำข้าว ไทยมีศักยภาพ รวมถึงน้ำมันถั่วเหลือง ที่แม้ต้องนำเข้าวัตถุดิบ ส่วนน้ำมันมะพร้าว มีโอกาสเพิ่มส่วนแบ่งตลาดโลกได้อีก
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค. ได้ติดตามสถานการณ์การบริโภคน้ำมันพืชทั่วโลก จากฐานข้อมูลด้านการตลาดและอุตสาหกรรม Statista พบว่า ในช่วงปี 2558–2568 เติบโตเฉลี่ย 2.48% ต่อปี โดยน้ำมันดอกทานตะวัน เพิ่ม 3.04% น้ำมันปาล์ม เพิ่ม 2.79% น้ำมันถั่วเหลือง เพิ่ม 2.63% น้ำมันปาล์มเมล็ดใน เพิ่ม 2.23% น้ำมันเรพซีด (คาโนล่า) เพิ่ม 2.01% น้ำมันถั่วลิสง เพิ่ม 1.39% น้ำมันมะพร้าว เพิ่ม 1.28% น้ำมันเมล็ดฝ้าย เพิ่ม 1.24% และน้ำมันมะกอก เพิ่ม 0.21% และจากแนวโน้มการบริโภคน้ำมันพืชที่เพิ่มขึ้น เปิดโอกาสให้พืชน้ำมันของไทยที่มีศักยภาพในการเพาะปลูกหรือแปรรูป เช่น ปาล์มน้ำมัน ถั่วเหลือง รำข้าว และมะพร้าว เป็นต้น มีโอกาสการค้าในตลาดโลกเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ จากการศึกษาศักยภาพด้านการผลิตและการค้าน้ำมันพืชของไทย พบว่า น้ำมันปาล์ม ในปี 2567 ไทยมีผลผลิตปาล์มน้ำมันเป็นอันดับที่ 3 ของโลก รองจากอินโดนีเซียและมาเลเซีย สัดส่วนการผลิต 4.47% ของการผลิตโลก การส่งออกน้ำมันปาล์มของโลก (พิกัดศุลกากร 1511) มีมูลค่า 41,212.29 ล้านเหรียญสหรัฐ และเมื่อพิจารณาศักยภาพทางด้านการค้า จากฐานข้อมูล Trademap พบว่า ไทยมีมูลค่าการส่งออกน้ำมันปาล์มเป็นอันดับที่ 4 ของโลก โดยผู้ส่งออกสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเนเธอร์แลนด์ ไทยส่งออกน้ำมันปาล์มมูลค่า 872.31 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 3.17% ตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ อินเดีย สัดส่วน 84.55% เมียนมา 11.13% และจีน 1.83% และในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีมูลค่าการส่งออกน้ำมันปาล์มเติบโตต่อเนื่อง โดยมีอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี 40.85% (ปี 2563-2567)
น้ำมันถั่วเหลือง ไทยมีผลผลิตถั่วเหลืองไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศ จึงต้องนำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองจากต่างประเทศ สำหรับใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น โรงงานสกัดน้ำมัน อาหารสัตว์ แปรรูปอาหาร และใช้ทำพันธุ์ โดยในปี 2567 ไทยนำเข้าเมล็ดถั่วเหลือง (พิกัดฯ 1201) 3.87 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 1,942.83 ล้านเหรียญสหรัฐ แหล่งนำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองที่สำคัญของไทย ได้แก่ บราซิล สัดส่วน 85.82% สหรัฐฯ 12.00% และแคนาดา 1.71% และการส่งออกน้ำมันถั่วเหลืองของโลก (พิกัดฯ 1507) มีมูลค่า 12,126.18 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยส่งออกน้ำมันถั่วเหลืองเป็นมูลค่า 284.07 ล้านเหรียญสหรัฐ ลด 7.65% มีตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ เวียดนาม สัดส่วน 26.46% อินเดีย 16.63% และเกาหลีใต้ 11.99% เป็นอันดับที่ 11 ของโลก ผู้ส่งออกสูงสุด 3 อันดับแรกของโลก ได้แก่ อาร์เจนตินา บราซิล และสหรัฐฯ และในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มูลค่าการส่งออกน้ำมันถั่วเหลืองเติบโตต่อเนื่อง โดยมีอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี 22.72% (ปี 2563-2567)
น้ำมันรำข้าว ไทยมีผลผลิตข้าวเปลือกเป็นอันดับที่ 6 ของโลก สัดส่วนการผลิต 4.13% ของการผลิตโลก เนื่องจากไม่มีพิกัดศุลกากรระดับสากลจึงทำให้ไม่สามารถเปรียบเทียบตัวเลขการค้าน้ำมันรำข้าวของโลกได้ชัดเจน และเมื่อพิจารณาศักยภาพทางด้านการค้าของไทย พบว่า ไทยส่งออกน้ำมันรำข้าว (พิกัด 15159099001) มูลค่า 64.95 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 3.87% ตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ เกาหลีใต้ สัดส่วน 26.66% ญี่ปุ่น 24.44% และออสเตรเลีย 13.42% และในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีมูลค่าการส่งออกน้ำมันรำข้าวเติบโตต่อเนื่อง โดยมีอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี 3.98% (ปี 2563-2567)
น้ำมันมะพร้าว ปี 2567 ไทยมีผลผลิตมะพร้าวเป็นอันดับที่ 10 ของโลก สัดส่วนการผลิต 1.41% ของการผลิตโลก การส่งออกน้ำมันมะพร้าวของโลก (พิกัดฯ 151311 และ 151319) มีมูลค่า 4,268.31 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อพิจารณาศักยภาพทางด้านการค้า พบว่า ไทยมีมูลค่าการส่งออกน้ำมันมะพร้าวเป็นอันดับที่ 23 ของโลก ไทยส่งออกน้ำมันมะพร้าวเป็นมูลค่า 4.89 ล้านเหรียญสหรัฐ ลด 6.41% ตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น สัดส่วน 24.10% รัสเซีย 11.56% และฮ่องกง 9.59% และในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มูลค่าการส่งออกน้ำมันมะพร้าวของไทยหดตัวต่อเนื่อง โดยมีอัตราหดตัวเฉลี่ยต่อปี 12.74% (ปี 2563-2567)
นายพูนพงษ์ กล่าวว่า แนวโน้มการบริโภคน้ำมันพืชของโลกที่เพิ่มขึ้น เป็นโอกาสการพัฒนาสินค้าเกษตรไทย ซึ่งจะเห็นได้ว่าทั้งน้ำมันปาล์มและน้ำมันรำข้าว เป็นน้ำมันพืชที่ไทยมีศักยภาพในการผลิตและส่งออก ขณะที่น้ำมันถั่วเหลือง ไทยมีศักยภาพในการส่งออกเช่นเดียวกัน โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พบว่า มูลค่าการส่งออกน้ำมันถั่วเหลืองของไทยมีอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี 22.72% แต่จำเป็นต้องนำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองเพื่อมาสกัดและแปรรูปเพื่อการส่งออก เนื่องจากการผลิตเมล็ดถั่วเหลืองในประเทศมีต้นทุนสูงกว่า สำหรับน้ำมันมะพร้าว ในปัจจุบันมุ่งเน้นการส่งออกน้ำมะพร้าว เนื้อมะพร้าว และกะทิ มากกว่านำมาแปรรูปเป็นน้ำมัน แต่เทรนด์การบริโภคน้ำมันมะพร้าวเพื่อสุขภาพและใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง น้ำมันมะพร้าวจึงมีโอกาสคว้าส่วนแบ่งตลาดโลกได้เพิ่มขึ้น
“การที่ไทยมีจุดแข็งด้านภูมิประเทศและอากาศที่เหมาะสมต่อการเพาะปลูกพืชหลากชนิด และสามารถนำมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตน้ำมันได้หลายประเภท มีการผลิตที่มีคุณภาพ มาตรฐาน จึงควรส่งเสริมการผลิตพืชน้ำมันให้สอดคล้องตามความต้องการน้ำมันพืชของโลก ทั้งกลุ่มผู้บริโภคทั่วไป (Mass Market) และตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) เช่น กลุ่มคนรักสุขภาพ และกลุ่มมังสวิรัติ เป็นต้น อันจะเป็นการเพิ่มมูลค่าให้สินค้าเกษตรไทย สร้างพืชเศรษฐกิจใหม่ ตลอดจนยกระดับอุตสาหกรรมน้ำมันพืชไทยให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน”นายพูนพงษ์กล่าว
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง