“พาณิชย์”เผยปรับค่าแรงขั้นต่ำปี 61 กระทบต้นทุนสินค้าต่ำสุด 0.0008% สูงสุด 0.1% เฉลี่ย 0.05% ยันผู้ผลิตใช้เป็นเหตุผลปรับขึ้นราคาสินค้าไม่ได้ แต่ก็พร้อมพิจารณาหากต้นทุนสูงจริง เตรียมนัดถกเอกชนทุกกลุ่มสินค้าสัปดาห์หน้า พร้อมขอผู้บริโภคช่วยสอดส่อง หากพบเห็นการขึ้นราคาไม่สมเหตุผล ให้รีบแจ้ง จะจัดการทันที ส่วนภาคการผลิตและบริการพบต้นทุนเพิ่ม 1 หมื่นล้านบาทต่อปี ส่งออกต้นทุนเพิ่ม 0.022% เงินเฟ้อเพิ่มอีก 0.08%
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ได้ศึกษาผลกระทบการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำปี 2561 ที่ได้มีการปรับขึ้นทุกจังหวัด แต่ไม่เท่ากัน โดยเฉลี่ยพบว่าปรับขึ้น 3.4% หรือทำให้ค่าแรงขั้นต่ำเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 305.44 บาท เป็น 315.90 บาท หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10.50 บาท ได้มีผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้าต่ำสุด 0.0008% และสูงสุดอยู่ที่ 0.1% หรือมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 0.05% ซึ่งถือว่ามีผลกระทบต่อต้นทุนไม่มาก ผู้ผลิตจะใช้เป็นเหตุผลในการปรับขึ้นราคาสินค้าไม่ได้
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์จะนัดหารือภาคเอกชนทุกกลุ่มสินค้าอีกครั้งภายในสัปดาห์หน้านี้ เพื่อแจ้งให้ทราบว่าผลการวิเคราะห์ต้นทุนค่าแรงขั้นต่ำกระทบต่อต้นทุนสินค้าเท่าไร และภาคเอกชนมีความเห็นอย่างไร ถ้าพบว่าไม่มีผลกระทบต่อต้นทุนสินค้า ก็จะขอความร่วมมือให้ตรึงราคาจำหน่ายต่อไป แต่ถ้ามีผลกระทบ มีผลกระทบเท่าไร มากน้อยแค่ไหน ก็ต้องมาหารือพูดคุยกันก่อน
“จะบอกกับผู้ประกอบการว่าผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ กระทรวงพาณิชย์วิเคราะห์ออกมาได้เท่านี้ ผลเป็นแบบนี้ แต่ก็พร้อมที่จะฟังผู้ประกอบการด้วยว่าจริงๆ เป็นยังไง ถ้าไม่กระทบ ก็คือไม่กระทบ ก็ต้องไม่ขึ้นราคาสินค้า จะขอความร่วมมือให้ตรึงราคาต่อไป แต่ถ้ากระทบ ก็ค่อยมาว่ากัน”นายสนธิรัตน์กล่าว
นอกจากนี้ กระทรวงฯ ขอฝากไปยังประชาชนให้ช่วยสอดส่องดูแล และช่วยเป็นหูเป็นตาให้กับกระทรวงพาณิชย์ หากพบเห็นว่ามีสินค้าหรือบริการใดปรับขึ้นราคา ก็ให้แจ้ง ให้ร้องเรียนเข้ามาได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 หรือที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ จะจัดส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบให้ทันที และยังได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบสถานการณ์ราคาสินค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อเป็นการป้องปรามไม่ให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบ โดยขอยืนยันว่า จะดำเนินการอย่างเข้มงวด แข็งกร้าว และเอาจริงกับผู้ที่เอาเปรียบขั้นเด็ดขาด
นายสนธิรัตน์กล่าวว่า ยังได้วิเคราะห์ผลการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำต่อภาคการผลิต โดยพบว่า ต้นทุนค่าแรงในภาคการผลิตและบริการจะเพิ่มขึ้น 10,006 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็น 0.07% ของจีดีพี โดยภาคบริการที่มีการใช้แรงงานเข้มข้นจะได้รับผลกระทบจากการขึ้นค่าแรงมากสุด 3 อันดับแรก คือ การก่อสร้าง การขายส่งและการขายปลีก , การซ่อมยานยนต์และรถจักรยานยนต์ , โรงแรมและบริการด้านอาหาร ส่วนภาคอุตสาหกรรม คือ ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม , การฟอกและตกแต่งหนังฟอก , เครื่องจักรสำนักงานโลหะขั้นมูลฐาน
ส่วนผลกระทบต่อการส่งออก จะทำให้ต้นทุนการส่งออกเพิ่มขึ้น 0.022% หรือมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้นประมาณ 167 ล้านบาทต่อปี โดยสาขาที่มีสัดส่วนต้นทุนเพิ่มมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ การพิมพ์ เครื่องหนัง เครื่องแต่งกาย โลหะประดิษฐ์ และเฟอร์นิเจอร์ ส่วนอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบน้อย ได้แก่ เคมีภัณฑ์ สิ่งทอ และยานยนต์
สำหรับผลกระทบต่อเงินเฟ้อ พบว่า การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 0.08% และทำให้กรอบคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อปี 2561 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดิม 0.6-1.6% เพิ่มเป็น 0.7-1.7%
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง

