“พาณิชย์”เผยใช้สิทธิ์ FTA ส่งออกไตรมาสแรก ปี 68 เพิ่ม 19.04% อาเซียนนำโด่ง

img

กรมการค้าต่างประเทศ เผยการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใน FTA ไตรมาสแรก ปี 68 มีมูลค่า 22,001.26 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 19.04% คิดเป็นสัดส่วน 79.75% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ได้รับสิทธิ์ทั้งหมด อาเซียนนำโด่งใช้สิทธิ์สูงสุด ตามด้วยอาเซียน-จีน อาเซียน-อินเดีย JTEPA และ TAFTA ยันเดินหน้าผลักดันผู้ประกอบการใช้สิทธิ์ FTA ส่งออกต่อเนื่อง เพื่อช่วยสร้างแต้มต่อ ลดต้นทุน
         
นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) ในช่วง 3 เดือน ปี 2568 (ม.ค.-มี.ค.) มีมูลค่า 22,001.26 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 19.04% คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิ์ 79.75% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ได้รับสิทธิ์ทั้งหมด โดยความตกลง FTA ที่มีการใช้สิทธิ์สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA) อันดับหนึ่ง มูลค่า 7,895.76 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีสัดส่วนการใช้สิทธิ์ 67.07% รองลงมา คือ ความตกลงอาเซียน-จีน (ACFTA) มูลค่า 4,926.56 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วน 90.92% ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (AIFTA) มูลค่า 3,908.13 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วน 87.11% ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) มูลค่า 1,572.48 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วน 74.89% และความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) มูลค่า 1,346.20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วน 56.85%
         
สำหรับสินค้า 5 อันดับแรกที่มีการใช้สิทธิ์ FTA ส่งออกมากที่สุด ได้แก่ 1.แพลทินัมยังไม่ได้ขึ้นรูป (อันรอต) กึ่งสำเร็จรูปหรือเป็นผง มูลค่า 1,655.82 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 2.ยานยนต์สำหรับขนส่งของอื่น ๆ (ที่มีเครื่องดีเซล หรือกึ่งดีเซล) น้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน 5 ตัน มูลค่า 1,588.88 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 3.ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ มูลค่า 857.83 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 4.แพลทินัมยังไม่ได้ขึ้นรูป (อันรอต) กึ่งสำเร็จรูปหรือเป็นผงอื่น ๆ มูลค่า 760.76 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 5.น้ำตาลที่ได้จากอ้อยอื่น ๆ มูลค่า 473.69 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
         


นางอารดากล่าวว่า จาก FTA ทั้งหมด 12 ฉบับ ที่กรมติดตามการใช้สิทธิ์ในปัจจุบัน พบว่า มี FTA ที่มีอัตราการใช้สิทธิ์เพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 รวม 6 ฉบับ ได้แก่ 1.ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (ส่งออกไปอินเดีย) เพิ่มขึ้น 201.64% 2.ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) เพิ่มขึ้น 21.27% 3.ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ส่งออกไปจีน) เพิ่มขึ้น 17.64% 4.ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน เพิ่มขึ้น 7.69% 5.ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-เกาหลี (ส่งออกไปเกาหลี) เพิ่มขึ้น 4.31% และ 6.ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-เปรู เพิ่มขึ้น 0.33%

การใช้สิทธิ์ FTA ที่เพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากภาพรวมการส่งออกของไทยเพิ่มสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2567 จาก 70,753.67 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 81,532.34 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2568 โดยสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป ที่มีมูลค่าการใช้สิทธิ์ FTA สูง 5 อันดับแรก ได้แก่ น้ำตาลที่ได้จากอ้อย เนื้อของสัตว์ปีกเลี้ยงแช่เย็นจนแข็ง ไก่ที่ปรุงแต่ง ผลไม้สด (เงาะ ลำไย ทับทิมสด) และทุเรียนสด มูลค่ารวม 4,775.55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 21.71% ของมูลค่าการใช้สิทธิ์ทั้งหมด และสินค้าอุตสาหกรรม 5 อันดับแรก ได้แก่ แพลทินัมยังไม่ได้ขึ้นรูป (อันรอต) กึ่งสำเร็จรูปหรือเป็นผง ยานยนต์สำหรับขนส่งของ ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ แพลทินัมยังไม่ได้ขึ้นรูป (อันรอต) กึ่งสำเร็จรูปหรือเป็นผงอื่น ๆ และเครื่องปรับอากาศชนิดติดผนังหรือติดเพดาน มูลค่ารวม 17,225.71 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 78.29% ของมูลค่าการใช้สิทธิ์ทั้งหมด
         
ทั้งนี้ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกระทรวงพาณิชย์ได้ให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมการค้าและขยายโอกาสทางการค้าให้กับผู้ประกอบการไทย โดยมุ่งเน้นการผลักดันการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ FTA โดยกรมได้รับนโยบาย และได้เดินหน้าจัดอบรมให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันให้ผู้ประกอบการใช้สิทธิ์ FTA เป็นเครื่องมือสำคัญสร้างแต้มต่อในการส่งออก ช่วยลดภาษีนำเข้า ลดต้นทุนทางการค้า ทำให้สินค้าส่งออกจากไทยน่าดึงดูดเมื่อเทียบกับสินค้าจากประเทศอื่นที่ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์จาก FTA และยังช่วยเตรียมความพร้อมในการใช้สิทธิ์ FTA ที่ได้มีการทำฉบับใหม่ ๆ ทั้งไทย-ศรีลังกา ไทย-สมาคมการค้าเสรียุโรป (เอฟต้า) ไทย-ภูฏาน

ติดตามข่าวสารแบบฉับไว
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
ติดตามข่าวสารผ่าน Twitter
กดคลิก Follow ด้านล่าง