
“พิชัย”ถก “มารอส เซฟโควิช” กรรมาธิการยุโรปด้านการค้าฯ ติดตามความคืบหน้าการเจรจา FTA ไทย-EU เห็นพ้องกันต้องสรุปผลการเจรจาให้ได้ภายในปีนี้ เพื่อสร้างโอกาสทางการค้า การลงทุน และลดผลกระทบจากความท้าทายทางการค้าในปัจจุบัน เตรียมนัดถกรอบที่ 6 วันที่ 23-27 มิ.ย.นี้ ที่กรุงเทพฯ
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.2568 ที่ผ่านมา ในช่วงการประชุมรัฐมนตรีประเทศสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ตนได้พบหารือกับนายมารอส เซฟโควิช กรรมาธิการยุโรปด้านการค้าและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรและความโปร่งใส เพื่อติดตามความคืบหน้าการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-สหภาพยุโรป (EU) และเดินไปสู่เป้าหมายการสรุปผลให้ได้ภายในปีนี้
“ผมและนายมารอสเห็นร่วมกันว่าการเจรจา FTA ไทย-EU มีความคืบหน้าที่ดี สามารถสรุปการเจรจาไปได้แล้ว 4 บท ได้แก่ ความโปร่งใส แนวปฏิบัติที่ดีด้านกฎระเบียบ พิธีการศุลกากรและการอำนวยความสะดวกทางการค้า และระบบอาหารที่ยั่งยืน โดยไทยพร้อมทำงานร่วมกับ EU อย่างใกล้ชิดเพื่อผลักดันให้บทที่เหลือได้ข้อสรุปที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่ายโดยเร็ว”
ทั้งนี้ ตนได้ย้ำกับฝ่าย EU ว่า รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการเจรจากับ EU เนื่องจาก EU เป็นพันธมิตรและคู่ค้าที่สำคัญของไทย และมั่นใจว่า FTA ฉบับนี้ จะช่วยสร้างโอกาสทางการค้าและการลงทุนระหว่างกัน และลดผลกระทบจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์โลกในปัจจุบัน
นายพิชัยกล่าวว่า ขณะนี้เป็นช่วงสำคัญของการเจรจา เพราะเริ่มเข้าสู่การหารือเปิดตลาดแล้ว และจะมีการประชุมรอบที่ 6 ระหว่างวันที่ 23-27 มิ.ย.2568 ที่กรุงเทพฯ หวังว่าจะมีความคืบหน้าเป็นที่น่าพอใจ โดยตนได้กำชับกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเร่งการเจรจาให้สามารถสรุปผลภายในปีนี้ เพื่อขยายโอกาสและสร้างแต้มต่อทางการค้า ผลักดันการส่งออก ดึงดูดการลงทุนเข้าประเทศ และเสริมสร้างความสามารถทางการแข่งขันของไทยให้ทัดเทียมกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศต่าง ๆ กำลังเผชิญกับความท้าทายในประเด็นใหม่ ๆ ทางการค้า
นอกจากนี้ ได้สั่งการให้ความสำคัญกับการสร้างความรู้และส่งเสริมการใช้สิทธิประโยชน์จาก FTA กับภาคเอกชนและผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก (SME) เพื่อเพิ่มศักยภาพให้ผู้ประกอบการในการทำการค้าระหว่างประเทศ
สำหรับ EU เป็นคู่ค้าลำดับที่ 4 ของไทย รองจากจีน สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ในปี 2567 มีมูลค่าการค้าประมาณ 43,533 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 7.17% ของการค้าไทยในตลาดโลก โดยไทยส่งออกไป EU ประมาณ 24,205 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้าจาก EU ประมาณ 19,328 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในช่วง 4 เดือน ปี 2568 (ม.ค.-เม.ย.) มีมูลค่าการค้า 14,341.92 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยส่งออก 8,431.12 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และไทยนำเข้า 5,910.80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญของไทย เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และสินค้านำเข้าสำคัญจาก EU เช่น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม เครื่องบิน เครื่องร่อน อุปกรณ์การบินและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง