​“พาณิชย์”จบดรามา! ปฏิเสธคำขอจดสิทธิบัตรยา “ฟาวิพิราเวียร์” เหตุไม่มีขั้นประดิษฐ์ที่สูงขึ้น

img

กรมทรัพย์สินทางปัญญาปฏิเสธคำขอรับสิทธิบัตรยา “ฟาวิพิราเวียร์” รูปแบบเม็ดแล้ว เหตุไม่มีขั้นการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น เผยองค์การเภสัชกรรม หรือบริษัทยาไทย สามารถผลิตยา เพื่อใช้ในประเทศได้ทันที ย้ำอย่ามองสิทธิบัตรเป็นอุปสรรคการเข้าถึงยา แต่เป็นประโยชน์ในการประดิษฐ์คิดค้นด้วย หลังคนไทยยื่นจดสิทธิบัตร อนุสิทธิบัตรเกี่ยวกับโควิด-19 จำนวนมาก พร้อมระบุปัจจุบันยังสามารถใช้ CL ยาได้เป็นปกติ  
         
นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยถึงความคืบหน้าการพิจารณาคำขอรับสิทธิบัตรยา “ฟาวิพิราเวียร์” รูปแบบยาเม็ด ที่มีการสอบถามความคืบหน้ามาก่อนหน้านี้ ว่า กรมฯ ได้มีคำสั่งปฏิเสธคำขอจดทะเบียนสิทธิบัตรแล้ว ภายหลังจากให้โอกาสผู้ขอได้ชี้แจงเพิ่มเติม โดยผู้ตรวจสอบสิทธิบัตรพิจารณาแล้ว ยังคงเห็นว่าการประดิษฐ์ดังกล่าว ไม่มีขั้นการประดิษฐ์สูงขึ้น ตามมาตรา 5 (2) และมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ.สิทธิบัตร พ.ศ. 2522 ทำให้ปัจจุบันไม่มีผู้ใดมีสิทธิผูกขาดในยาฟาวิพิราเวียร์ ทั้งในโครงสร้างสารออกฤทธิ์หลัก ซึ่งไม่เคยมีการขอรับสิทธิบัตรในประเทศไทย และรูปแบบยาเม็ด

“กรมฯ ได้มีคำสั่งปฏิเสธคำขอแล้วในวันนี้ (5 พ.ค.) หากองค์การเภสัชกรรม หรือบริษัทยาสามัญไทยรายอื่นประสงค์จะผลิตยาดังกล่าว เพื่อใช้ในประเทศ ก็สามารถดำเนินการได้”



อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกระบวนการของกฎหมาย ยังเปิดโอกาสให้ผู้ขอ สามารถอุทธรณ์คำสั่งต่อคณะกรรมการสิทธิบัตรได้ภายใน 60 วัน หากไม่มีการอุทธรณ์ภายในระยะเวลาดังกล่าว จึงจะถือว่าคำสั่งปฏิเสธของกรมฯ เป็นที่สุด และเสร็จสิ้นกระบวนการทางกฎหมาย

นายวุฒิไกรกล่าวว่า ทุกภาคส่วนกำลังช่วยกันแก้ปัญหาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ตามบทบาทและหน้าที่ของตนเองภายใต้เป้าหมายเดียวกัน คือ ให้ประชาชนเข้าถึงยาที่จำเป็นได้อย่างทันท่วงที และไม่อยากให้มองว่าสิทธิบัตรเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงยาเพียงอย่างเดียว เพราะหากมองในมุมกลับกัน ตั้งแต่โรคโควิด-19 ระบาดในไทยเมื่อต้นปี 2563 มีคนไทยยื่นจดสิทธิบัตร อนุสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19 แล้วกว่า 60 คำขอ เช่น หน้ากากอนามัย ตู้อบฆ่าเชื้อ ยาต้านไวรัส และหุ่นยนต์ขนส่งอาหารในโรงพยาบาล เป็นต้น จึงเห็นได้ว่าสิทธิบัตร ก็เป็นประโยชน์สำหรับคนไทยที่จะทำให้ข้ามผ่านสถานการณ์ที่ยากลำบากของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไปด้วยกัน

สำหรับประเด็นที่มีการเสนอในบางสื่อว่า ประเทศไทยไม่สามารถบังคับใช้สิทธิตามสิทธิบัตร (Compulsory License หรือ CL) เพื่อผลิตยาที่มีสิทธิบัตรขึ้นเองได้ เนื่องจากติดขัดที่กรมทรัพย์สินทางปัญญากำลังแก้ไขกฎหมายสิทธิบัตรนั้น เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน กรมฯ ขอเรียนว่า การแก้ไขกฎหมายสิทธิบัตรที่มีการอ้างถึง ปัจจุบันเป็นเพียงร่างกฎหมายที่อยู่ภายในหน่วยงาน ยังต้องผ่านกระบวนการพิจารณาด้วยความรอบคอบอีกหลายขั้นตอนกว่าจะมีผลบังคับใช้ ดังนั้น การใช้สิทธิ CL จึงยังเป็นอำนาจของกระทรวง ทบวง กรมที่เกี่ยวข้อง ตามมาตรา 51 แห่งพ.ร.บ.สิทธิบัตร พ.ศ.2522 ซึ่งบังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน

ติดตามข่าวสารแบบฉับไว
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
ติดตามข่าวสารผ่าน Twitter
กดคลิก Follow ด้านล่าง