​“พาณิชย์”ขับเคลื่อน 4 ยุทธศาสตร์ ดันไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงเบอร์หนึ่งโลก

img

“พาณิชย์”ขับเคลื่อน 4 ยุทธศาสตร์ ลุยเพิ่มส่วนแบ่งตลาดจีน เพิ่มสินค้าพรีเมียม รุกบริการสัตว์ครบวงจร และพัฒนาดิจิทัลคอนเทนต์สัตว์เลี้ยง ดันไทยก้าวเป็น “ผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงเบอร์หนึ่งของโลก” จากอันดับที่ 4 ในปัจจุบัน หลังผลสำรวจพบไทยมีจุดแข็งถึง 7 ด้าน ที่สามารถช่วยสนับสนุนการไปสู่เป้าหมายได้
         
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ผลการศึกษาของ สนค. พบว่า ไทยมีโอกาสจะขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงโลกได้ เพราะไทยมีจุดแข็งหลายด้าน และตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงโลกยังมีโอกาสเติบโตสูง หากไทยมีการพัฒนาและปรับปรุงข้อจำกัดบางอย่างจะทำให้เป้าหมายเป็นจริงได้ ซึ่งในส่วนของ สนค. มีข้อเสนอแนะในการไปสู่เป้าหมายด้วยการขับเคลื่อน 4 ยุทธศาสตร์ คือ สินค้าเก่ารุกตลาดดาวรุ่ง , เพิ่มสินค้าพรีเมียม เน้นวัตถุดิบภายในประเทศ , สร้างความเข้มแข็งภาคบริการจากภายใน เพื่อต่อยอดสู่การส่งออกบริการ และส่งเสริมดิจิทัล คอนเทนต์เรื่องสัตว์เลี้ยง
         
สำหรับรายละเอียดทั้ง 4 ยุทธศาสตร์ มีดังนี้ 1.สินค้าเก่ารุกตลาดดาวรุ่ง จะผลักดันให้เร่งขยายการส่งออกไปจีน และเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดในตลาดจีน ซึ่งในปัจจุบันไทยเป็นแหล่งนำเข้าอันดับที่ 2 ของจีนมีสัดส่วนประมาณ 19% ขณะที่แคนาดาเป็นแหล่งนำเข้าอันดับที่ 1 มีสัดส่วนประมาณ 45% แต่ไทยมีความได้เปรียบแคนาดาในหลายด้าน ทั้งภูมิศาสตร์และความสามารถทางการแข่งขัน 

2.เพิ่มสินค้าพรีเมียม เน้นวัตถุดิบภายในประเทศ ตั้งเป้าหมายให้ไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงพรีเมียม เพื่อจะเพิ่มมูลค่าสินค้าส่งออก และเปลี่ยนการส่งออกที่เน้นแข่งขันด้วยราคา โดยให้ความสำคัญกับคุณค่าทางอาหารที่สูงขึ้น สร้างความแตกต่างจากอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเดิม โดยเร่งศึกษา วิจัย และพัฒนาวัตถุดิบที่มีคุณสมบัติแตกต่างและดีกว่าวัตถุดิบเดิม โดยให้ความสำคัญกับการใช้วัตถุดิบภายในประเทศมากขึ้น และจะต้องเร่งขยายการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยง เช่น เสื้อผ้า ของเล่น อาหารว่าง และเตียง เป็นต้น

3.สร้างความเข้มแข็งภาคบริการจากภายใน เพื่อต่อยอดสู่การส่งออกบริการ จะเน้นการสร้างความเข้มแข็งด้านความเชี่ยวชาญการดูแลสัตว์อย่างครบวงจรภายในประเทศ เพื่อยกระดับสู่ผู้ให้คำปรึกษาหรือขยายธุรกิจการดูแลสัตว์เลี้ยงไปยังประเทศที่มีกำลังซื้อสูงอย่างจีน

4.ส่งเสริมดิจิทัล คอนเทนต์เรื่องสัตว์เลี้ยง เพราะการเติบโตของตลาดดิจิทัล คอนเทนต์ ทำให้มีความต้องการเนื้อหาของสื่อเพื่อความบันเทิงในหลายด้าน รวมทั้งเนื้อหาที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงก็เป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมสูง อีกทั้งการเพิ่มมิติสินค้า บริการด้านนี้ จะเป็นหนึ่งในช่องทางการสร้างรายได้ให้กับผู้ผลิตเนื้อหารายย่อยได้และให้กับประเทศอีกด้วย รวมทั้งจะช่วยชดเชยรายได้จากการส่งออกที่อาจจะลดลงในบางประเทศ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร โดยเฉพาะประเทศที่มีจำนวนประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้น จะมีการเลี้ยงสัตว์และการใช้จ่ายเพื่ออาหารสัตว์เลี้ยงน้อยลง เช่น ประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น



น.ส.พิมพ์ชนกกล่าวว่า สำหรับจุดแข็งที่จะช่วยสนับสนุนการไปสู่เป้าหมาย พบว่า ไทยมีมากถึง 7 จุดแข็ง กล่าวคือ 1.ไทยมีต้นทุนทางการผลิตที่ต่ำกว่าประเทศคู่แข่งที่สำคัญ โดยเฉพาะต้นทุนด้านแรงงาน ซึ่งผู้ส่งออกที่มีส่วนแบ่งตลาดมากกว่าไทย ล้วนเป็นประเทศพัฒนาแล้ว เช่น เยอรมนี สหรัฐฯ และฝรั่งเศส เป็นต้น 2.ไทยมีความเชี่ยวชาญในการผลิต เนื่องจากการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงบางส่วนขยายกิจการ เพิ่มสายการผลิตมาจากการผลิตปลาทูน่ากระป๋อง ทำให้ผู้ผลิตสามารถต่อยอดความเชี่ยวชาญทั้งด้านการผลิตและวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะแรงงานที่ไม่ต้องปรับทักษะการผลิตเพิ่มเติมมากนัก และการเพิ่มสายการผลิตยังทำให้เกิดการประหยัดอีกด้วย (Economies of Scope)  

3.ประเทศผู้นำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยงของโลกส่วนมากเป็นประเทศที่มีกำลังซื้อสูง หรือรายได้ต่อหัวสูง รวมทั้งมีมาตรฐานการเลี้ยงสัตว์สูง ทำให้เต็มใจจ่ายในสินค้าที่ราคาและคุณภาพพรีเมียม 4.ไทยได้ประโยชน์จากการเติบโตการนำเข้าของประเทศสำคัญ พบว่า การนำเข้าของสหรัฐฯ จีน เกาหลีใต้ และเยอรมนี มีการเติบโตได้สูงกว่าประเทศอื่น ๆ และส่วนแบ่งตลาดของไทยยังเพิ่มขึ้นอีกด้วย สะท้อนถึงความสามารถทางการแข่งขันของผู้ส่งออกไทยที่อยู่ในเกณฑ์ดี จนสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดได้อย่างต่อเนื่อง  

5.ด้านภูมิศาสตร์ “ใกล้ไกลไทยไม่เสียเปรียบ” ในตลาดคู่ค้าสำคัญ โดยจากการศึกษาบ่งชี้ว่าตลาดสหรัฐฯ เป็นตลาดที่ระยะทางของคู่ค้าไม่ส่งผลต่อการนำเข้า ทำให้ไทยไม่เสียเปรียบประเทศที่มีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ใกล้กว่าไทย ในทางตรงกันข้าม ตลาดจีนและญี่ปุ่น เป็นตลาดที่ระยะทางของคู่ค้ามีผลต่อการนำเข้า ยิ่งระยะทางใกล้จะมีความได้เปรียบทางการค้าสูง ซึ่งจุดนี้ทำให้ไทยมีความได้เปรียบทางการแข่งขันจากคู่แข่งอื่นๆ

6.ไทยทำให้เกิดการผูกขาดในตลาดสำคัญและป้องกันการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดจากคู่แข่งอื่นๆ โดยใน ตลาดสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ไทยมีส่วนแบ่งตลาดสูง  รวมทั้งลักษณะตลาดเริ่มเข้าสู่การแข่งขันน้อยรายทำให้ประเทศคู่แข่งไทยเจาะตลาดได้ยาก และ 7.ประเทศผู้นำเข้าที่สำคัญของไทยยังคงนำเข้าอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ จีน และญี่ปุ่น อย่างที่ทราบกันดีว่า สินค้าส่งออกที่สำคัญส่วนมากจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่เป็นข้อยกเว้นสำหรับการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง ทำให้การส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการส่งออกไทยในระยะนี้ด้วย

ในปี 2562 การส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงโลกมีมูลค่า 11,511 ล้านเหรียญสหรัฐ และในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาเติบโตถึง 71% ขณะที่ไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับที่ 4 ของโลก มีมูลค่าการส่งออก 1,385.1 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีสัดส่วน 9.2% ของการส่งออกโลก ส่วนการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยในช่วง 8 เดือนปี 2563 (ม.ค.-ส.ค.) มีมูลค่า 1,303.6 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 17.3% ขยายตัวต่อเนื่อง 12 เดือนติดต่อกัน โดยส่งออกไปสหรัฐฯ อันดับ 1 เพิ่มขึ้น 34.7% มีสัดส่วน 23.9% ญี่ปุ่นอันดับ 2 เพิ่มขึ้น 8.2% มีสัดส่วน 16.2%

ติดตามข่าวสารแบบฉับไว
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
ติดตามข่าวสารผ่าน Twitter
กดคลิก Follow ด้านล่าง