ผลผลิต “ข้าวเปลือกนาปี” ปีการผลิต 2568/69 คาดว่า จะมีปริมาณ 26.99 ล้านตันข้าวเปลือก หรือ 17.54 ล้านตันข้าวสาร นับว่า “มาก” เอาการอยู่
จนถึงขณะนี้ ผลผลิตออกสู่ตลาดไปแล้วราว ๆ 6.05 ล้านตันข้าวเปลือก หรือ 3.9 ล้านตันข้าวสาร คิดเป็น 22% ของผลผลิตทั้งหมด
ตอนนี้ถือเป็น “ช่วงพีก” ที่ผลผลิตกำลังออกสู่ตลาด
เกษตรกรต่างมี “ความกังวล” ในเรื่อง “ราคาตกต่ำ” เพราะที่ผ่านมา ราคามีแต่ “ทรงกับทรุด” ไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัว
เรื่องนี้ “กระทรวงพาณิชย์” โดย “นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์” ได้วางแผน “หาตลาดรองรับ” ไว้ล่วงหน้า
เริ่มด้วยการส่ง “ทีมกรมการค้าต่างประเทศ” ไปเจรจากับจีน และสิงคโปร์ เพื่อขายข้าว ก่อนที่จะถึงฤดูกาลข้าวเปลือกออกสู่ตลาด
จนสามารถปิด “ดีลใหญ่” ได้พร้อม ๆ กันในช่วงเดือน พ.ย.2568 ที่ผ่านมา
“ดีลแรก” เป็นการขายข้าวรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ให้กับจีนปริมาณ 5 แสนตัน โดย “นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน” ยืนยันการซื้อขายช่วงที่ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” และ “สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี” เสด็จเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ วันที่ 13-17 พ.ย.2568
“ดีลที่สอง” เป็นการลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOC) ด้าน “การค้าข้าวระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลสิงคโปร์” เมื่อวันที่ 7 พ.ย.2568 ปริมาณ 1 แสนตัน เพื่อส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารให้กับสิงคโปร์ โดยจะมีผลเป็นระยะเวลา 5 ปี
ทั้งสองดีลใหญ่ มีผลทาง “จิตวิทยา” ต่อตลาดข้าวไทยในทันที ทำให้พ่อค้า โรงสี ผู้ส่งออก เร่งซื้อข้าว เพื่อเตรียมพร้อมรองรับออเดอร์ใหญ่ที่กำลังเข้ามา
ไม่เพียงแค่นั้น “คณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.)” ยังได้มี “มาตรการเชิงรุกใหม่” เพื่อใช้ “ผลักดัน” ราคาข้าวเปลือกแบบเร่งด่วน คือ

ระยะสั้น โครงการดูดซับข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 เป้าหมาย 3 ล้านตันข้าวเปลือก ให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เข้าไปดูดซัปพลายในตลาด และระบายออกอย่างเหมาะสมตามสถานการณ์ โดยมีแผนนำข้าวเปลือกไปแปรรูปเป็นข้าวสารบรรจุถุงจำหน่ายยังหน่วยงานที่มีความต้องการใช้จริง อาทิ กรมราชทัณฑ์ หน่วยงานกองทัพ และหน่วยงานรัฐอื่น ๆ
ระยะยาว ศึกษาการปรับเปลี่ยนพื้นที่การเพาะปลูกข้าวนาปรังบางส่วน เพื่อให้มีความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่และความต้องการของตลาด กำหนดกรอบไว้ที่ 1 ล้านไร่ และผลักดันให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนการเพาะปลูก การผลิต ไปสู่ข้าวคุณภาพสูงหรือข้าวประณีต เช่น GAP อินทรีย์ ข้าวสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ข้าวที่มีอัตลักษณ์อื่น ๆ เป้าหมายกลุ่มเกษตรกร 200 กลุ่ม รวมไปถึงการพัฒนาเมล็ดพันธุ์ข้าวตามความต้องการของตลาด เพื่อให้เกษตรกรนำไปปลูก
นอกจากนี้ “กรมการค้าภายใน” ยังได้เดินหน้า “ขับเคลื่อน” มาตรการดูแลข้าวเปลือก ที่เป็นมาตรการเดิม ที่ นบข. เคยอนุมัติไว้ และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ให้ความเห็นชอบแล้ว
เริ่มจาก โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 ให้เกษตรกรเก็บข้าวไว้ในยุ้งฉางตนเอง 1–5 เดือน ได้รับค่าฝากเก็บ 1,500 บาทต่อตัน เป้าหมาย 3 ล้านตัน
โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2568/69 ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้สถาบันเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ เป้าหมาย 1.5 ล้านตัน
โครงการชดเชยดอกเบี้ยผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2568/69 โรงสีเก็บสต็อก 2–6 เดือน รัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี เป้าหมาย 4 ล้านตัน
โครงการทั้งสาม ล้วนแต่มีความคืบหน้า โดยเฉพาะโครงการชดเชยดอกเบี้ย ที่กรมการค้าภายในกำกับดูแล โดยล่าสุด มีผู้ประกอบการ โรงสี สถาบันเกษตรกรเข้าร่วมแล้ว 217 ราย จาก 44 จังหวัดทั่วประเทศ และเริ่ม “ซื้อข้าว” แล้วตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.2568 ที่ผ่านมา

ขณะเดียวกัน ได้จัด “ตลาดนัดข้าวเปลือก” ทั่วประเทศ เริ่มตั้งแต่วันที่ 10 พ.ย.2568 มีเป้าจัดต่อเนื่องรวมกว่า 50 ครั้งใน 32 จังหวัด ครอบคลุมภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง จนถึงเดือน เม.ย.2569 ทำให้ตลาดซื้อขายข้าวมีความ “คึกคัก” และราคาในตลาดนัด “สูงกว่า” ตลาดทั่วไปเฉลี่ย 200-400 บาทต่อตัน
ผลจากการดำเนินมาตรการดูแลข้าวเปลือก ทั้งโครงการเก่า-ใหม่ ได้ผลักดันให้ “ราคาข้าวเปลือก” ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยราคาข้าวเปลือก เมื่อวันที่ 3 พ.ย.2568 ซึ่งเป็นช่วงที่ผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาดมาก ข้าวเปลือกหอมมะลิ 12,900-14,100 บาทต่อตัน ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ 12,000-13,800 บาทต่อตัน ข้าวเปลือกเจ้า 6,100-6,800 บาทต่อตัน ข้าวเปลือกปทุมธานี 8,000-8,300 บาทต่อตัน และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว 7,800-8,500 บาทต่อตัน
ส่วนราคาวันที่ 21 พ.ย.2568 ข้าวเปลือกหอมมะลิ 15,100–16,500 บาทต่อตัน ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ 12,900-16,000 บาทต่อตัน ข้าวเปลือกเจ้า 6,300–7,200 บาทต่อตัน ข้าวเปลือกปทุมธานี 8,000–8,300 บาทต่อตัน และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว 8,000–10,500 บาทต่อตัน
โดยราคาข้าวเปลือกหอมมะลิ “ปรับตัวขึ้น” สูงสุด 2,200-2,400 บาทต่อตัน ข้าวเปลือกเจ้าปรับเพิ่มขึ้นสูงสุด 200-400 บาทต่อตัน
“นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน” บอกว่า ฤดูกาลผลิตปีนี้ ถือเป็นฤดูกาลที่ราคาข้าวเปลือกปรับตัวดีขึ้น พูดได้ว่า “เร็วที่สุด” ในรอบหลายปี
ปรากฎการณ์ “ราคาดีดตัวขึ้น” ดังกล่าว เป็นผลจากการ “ทำตลาดล่วงหน้า” ที่นางศุภจีไปผลักดันขายให้จีนและสิงคโปร์รวม 6 แสนตัน และยังมีตลาดอื่น ๆ ที่กำลังเจรจาอีก บวกกับ “มาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก” ที่ นบข. ได้อนุมัติไว้ ทั้งเก่า-ใหม่ การจัด “ตลาดนัดข้าวเปลือก” ที่ดำเนินการพร้อมกันทั่วประเทศ และการคุมเข้มการซื้อข้าวเปลือก ทั้ง “เครื่องชั่ง-เครื่องวัดความชื้น”
ตอนนี้ “เกษตรกร” คง “ยิ้มออก” กันได้บ้าง
ซีเอ็นเอ
ส่งตรงถึงมือถือ คลิกเลย
กดคลิก Follow ด้านล่าง

